Your browser doesn’t support HTML5
ประธานาธิบดีโอบาม่าเสร็จสิ้นการเยือนทวีปแอฟริกาในสัปดาห์นี้ ที่รวมถึงการเยือนเคนยาซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของบิดาด้วย และคาดว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ราวหนึ่งปีครึ่งเพื่อสร้างประวัติผลงานซึ่งจะเป็นที่จดจำหลังจากที่พ้นตำแหน่งไป
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคน เช่น นาย Dan Halper จากหนังสือพิมพ์ The Weekly Standard มองว่าประวัติศาสตร์จะเป็นผู้ตัดสินประธานาธิบดีโอบาม่าในเรื่องนี้ เช่น ในกรณีข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน หากปรากฏว่าอิหร่านสามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาและใช้โจมตีประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ โลกก็จะมองว่าข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ประธานาธิบดีโอบาม่าทำกับอิหร่านนี้เป็นความล้มเหลว
ถึงแม้ผู้นำสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จในแง่นโยบายต่างประเทศบางอย่าง เช่น การสังหารนายโอซาม่า บิน ลาเดน และการยุติบทบาทในการรบของทหารสหรัฐฯ ในอิรักกับอัฟกานิสถานก็ตาม
แต่นักวิเคราะห์อีกคนหนึ่งคือนาย Aaron David Miller จาก Wilson Center มองว่าการขึ้นมามีบทบาทคุกคามของกลุ่ม IS จะทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางในช่วงต้นปี 2017 เมื่อประธานาธิบดีโอบาม่าพ้นจากตำแหน่งไปแตกต่างและเลวร้ายกว่าสถานการณ์ในปี 2008 เมื่อประธานาธิบดีโอบาม่าก้าวเข้ามารับตำแหน่ง และก็จะเป็นผลให้ประธานาธิบดีโอบามาถูกตำหนิว่าไม่มีนโยบายด้านตะวันออกกลางที่เข้มแข็งพอด้วย
และแม้ว่าประธานาธิบดีโอบามาจะได้ชื่อว่าเป็นชาวอเมริกันผิวดำคนแรกผู้ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสามารถผลักดันนโยบายปฏิรูประบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ ได้ แต่ปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อคนต่างผิวก็ยังมีอยู่
และประธานาธิบดีโอบามาเองก็ยอมรับว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะหวังว่าความตึงครียดระหว่างผิวนี้จะสามารถแก้ไขได้ในเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน