เมื่อวันพุธ เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยใกล้สองลูก ซึ่งถือเป็นการยิงขีปนาวุธครั้งที่สองในรอบไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ และเป็นความพยายามเพิ่มแรงกดดันทางการทูตมายังสหรัฐฯ
กองทัพเกาหลีใต้ที่ติดตามการยิงขีปนาวุธครั้งนี้ ระบุว่า ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือถูกยิงมาไกลราว 800 กิโลเมตร ที่ความสูง 60 กิโลเมตร ก่อนจะตกลงมายังทะเลใกล้กับชายฝั่งทางตะวันออกของเกาหลีเหนือ
กระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่นระบุว่า วิถีของขีปนาวุธนี้ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของญี่ปุ่น และขีปนาวุธตกอยู่นอกบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะของตน
กองบัญชาการภาคพื้นอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า การยิงขีปนาวุธครั้งนี้เน้นให้เห็นถึงผลกระทบต่อความมั่นคงจากโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ
ทั้งนี้ ยังไม่เป็นทราบชนิดของขีปนาวุธที่ถูกยิงครั้งนี้อย่างแน่ชัด โดยเกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยใกล้หลายชนิดมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2019
การยิงขีปนาวุธครั้งนี้มีขึ้นเพียงสองวันหลังเกาหลีเหนืออ้างว่า ทดสอบยิงขีปนาวุธขับเคลื่อนด้วยตัวเองพิสัยไกลได้แล้ว ซึ่งเป็นการทดลองขีปนาวุธครั้งแรกของเกาหลีเหนือในรอบราวหกเดือน
เกาหลีเหนืองัดข้อต่อรอง
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสหประชาชาติ ระบุว่า เกาหลีเหนืออาจเริ่มเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อผลิตพลูโตเนียมอีกครั้งที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ยองเบียน
นักวิเคราะห์บางส่วนเห็นว่า ท่าทีของเกาหลีเหนืออาจบ่งชี้ได้ว่า เกาหลีเหนือกำลังพยายามเพิ่มการต่อรองกับสหรัฐฯ ขณะที่การเจรจานิวเคลียร์ยังคงหยุดชะงัก ทั้งนี้ เกาหลีเหนือมักใช้วิธีทางการทูตหลังเพิ่มแรงกดดันด้วยวาทะข่มขู่หรือทดสอบอาวุธ
การยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือนี้ยังตรงกับช่วงที่นายซุง คิม ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ด้านนโยบายเกาหลีเหนือ เดินทางไปยังกรุงโตเกียวเพื่อพบปะกับนักการทูตจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เมื่อวันอังคาร นายคิมกล่าวย้ำถึงข้อเสนอของสหรัฐฯ ในการเริ่มการเจรจานิวเคลียร์อีกครั้งโดยไม่มีเงื่อนไข เขาระบุว่า สหรัฐฯ พร้อมร่วมมือกับเกาหลีเหนือในประเด็นด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าการปลดอาวุธนิวเคลียร์จะมีความคืบหน้าหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ปาร์ค วอน-กอน ศาสตราจารย์ด้านเกาหลีเหนือศึกษา มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ระบุว่า ท่าทีของสหรัฐฯ อาจไม่ได้ทำให้เกาหลีเหนือพอใจ โดยแม้ท่าทีของทูตสหรัฐฯ จะดูประนีประนอมมากขึ้น แต่เขาก็ย้ำเช่นเดียวกันว่า สหรัฐฯ จะไม่ยินยอมตามคำเรียกร้องของเกาหลีเหนือในการยกเลิกมาตรการลงโทษ
เกาหลีเหนือเรียกร้องความสนใจหรือไม่?
ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงท่าทีต้องการกลับมาเจรจากับเกาหลีเหนืออีกครั้ง แต่สหรัฐฯ ก็มีอีกหลายประเด็นในขณะนี้ที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น ผลพวงจากการถอนกำลังสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถาน และการรับมือกับโรคโควิด-19 ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนระบุว่า เกาหลีเหนืออาจรู้สึกว่าสหรัฐฯ เพิกเฉยตน
นายบอง ยัง-ชิค นักวิจัยจากสถาบันเกาหลีเหนือศึกษา มหาวิทยาลัยยอนเซ ระบุว่า เกาหลีเหนือแสดงความไม่พอใจมายังรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ดำเนินนโยบายเรียบเฉยต่อเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่กำลังจะมีขึ้นก็แตะประเด็นเกาหลีเหนือน้อยมาก โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับประเด็นเศรษฐกิจและนโยบายต่อโรคโควิด-19 มากกว่า
นักวิจัยผู้นี้มองว่า เกาหลีเหนือได้ตัดสินใจเพิ่มการกระทำที่เป็นการยั่วยุเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การแข่งขันด้านอาวุธ
เกาหลีเหนืออาจกำลังทดสอบขีปนาวุธเพื่อพยายามตามให้ทันประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ ซึ่งเพิ่งมีเทคโนโลยีขีปนาวุธใหม่ออกมา
เมื่อวันพุธ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธ เกาหลีใต้ประกาศว่า ได้ทดสอบยิงขีปนาวุธวิถีโค้งจากเรือดำน้ำ หรือ SLBM โดยประธานาธิบดีมูน แจ อิน ร่วมชมการทดสอบนี้ด้วย ทำให้เกาหลีใต้เป็นประเทศที่เจ็ดที่มีขีปนาวุธชนิดดังกล่าวเป็นของตัวเอง
เกาหลีเหนือไม่แสดงความเห็นต่อการทดสอบอาวุธของเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เกาหลีเหนือวิจารณ์ที่เกาหลีใต้เสริมกำลังทางทหารมากขึ้น
เกาหลีเหนือเปลี่ยนความสนใจหรือไม่?
ในช่วงปีนี้ เกาหลีเหนือให้ความสำคัญกับปัญหาภายในประเทศ รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ การป้องกันโรคระบาด และการขาดแคลนอาหาร ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่า เกาหลีเหนืออาจไม่พยายามแสดงท่าทียั่วยุครั้งใหญ่ เช่น การยิงขีปนาวุธพิสัยไกลหรือการทดสอบนิวเคลียร์ ที่อาจทำให้เกาหลีเหนือถูกโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจและทางการทูตไปมากกว่านี้
เมื่อเดือนมิถุนายน นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ระบุว่า เกาหลีเหนือเตรียมทั้งการเจรจาและการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และในอีกไม่กี่เดือนต่อมา เกาหลีเหนือกลับมาเปิดช่องทางโทรศัพท์สายด่วนกับเกาหลีใต้อีกครั้ง แต่เพียงไม่กี่วันถัดมา เกาหลีเหนือก็ตัดสายโทรศัพท์ดังกล่าวหลังจากเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ร่วมฝึกซ้อมทางทหารร่วมกัน ซึ่งเกาหลีเหนือมองว่าเป็นท่าทียั่วยุจากทั้งสองประเทศ