Your browser doesn’t support HTML5
กองกำลังของสหรัฐฯและเกาหลีใต้ในแถบคาบสมุทรเกาหลี ได้รับคำสั่งให้เตรียมความพร้อมสูงสุด หลังจากเกาหลีเหนือทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 4 เมื่อวันพุธ ขณะที่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯและเกาหลีใต้ กำลังหารือมาตรการตอบสนองต่อภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ
กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบินตรวจสอบสภาพบรรยากาศจากฐานทัพบนเกาะโอกินาว่า ไปยังบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่เกาหลีเหนือกล่าวอ้างว่า ได้ทดลองระเบิดไฮโดรเจน หรือ H-Bomb เมื่อวานนี้ เพื่อเก็บตัวอย่างอนุภาคกัมมันตภาพรังสีในบริเวณนั้นไปวิเคราะห์
จนถึงขณะนี้ ทั่วโลกยังคงกังขาว่าเกาหลีเหนือสามารถสร้างระเบิดไฮโดรเจนที่มีอำนาจทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณู 3 ลูกรวมกันได้แล้วจริงหรือไม่
เชื่อกันว่าเวลานี้เกาหลีเหนือมีแร่พลูโตเนียมที่เพียงพอสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้ราว 8 – 12 ลูก ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเกินพอแล้วสำหรับการป้องกันตนเองจากการคุกคาม ไม่ว่าจะมาจากเกาหลีใต้หรือสหรัฐฯ
และแม้ดูเหมือนการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ เท่าที่ประเมินแล้วจะมีความรุนแรงน้อยกว่าระเบิดไฮโดรเจนดังที่กรุงเปียงยางกล่าวอ้าง แต่ก็เป็นสัญญาณชี้ว่าโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากตั้งรับไปเป็นรุกแล้ว
Your browser doesn’t support HTML5
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเปียงยางรายงานว่าได้เริ่มเปิดใช้โรงงานเสริมคุณภาพแร่ยูโรเนียมเพื่อผลิตเชื้อเพลิงสำหรับอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น ซึ่งทางสถาบันวิทยาศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตัน ประเมินว่าเกาหลีเหนือจะสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองได้ถึง 20 – 100 ลูก ภายในปี ค.ศ 2020
ไม่นานนี้ มีรายงานว่าเกาหลีเหนือประสบความล้มเหลวในการทดสอบยิงจรวดขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ ซึ่งหากทำได้จริงจะทำให้เกาหลีเหนือมีศักยภาพที่จะโจมตีบนจุดไหนก็ได้บนพื้นโลก รวมทั้งในสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันเกาหลีเหนือก็ยังพยายามพัฒนาเทคโนโลยีจรวดขีปนาวุธระยะไกล โดยเชื่อกันว่าเวลานี้เกาหลีเหนือมีจรวดขีปนาวุธที่ผลิตในยุคโซเวียตอยู่ในครอบครองราว 1,000 ลูก ที่สามารถโจมตีเป้าหมายในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้
คุณ Robert Kelly นักวิเคราะห์ด้านเกาหลีเหนือ จากมหาวิทยาลัย Pusan National ชี้ว่า ศักยภาพด้านการทหารของเกาหลีเหนือขณะนี้ไม่ใช่เพื่อการป้องกันตนเองอีกต่อไป แต่เป็นอาวุธที่สามารถทำลายประเทศได้ทั้งประเทศ
และหากเปียงยางส่งระเบิดไฮโดรเจนไปถล่มเกาหลีใต้ ไม่ใช่แค่จะมีประชาชนล้มตายมากมายมหาศาลเท่านั้น แต่ยังหมายความว่าเกาหลีใต้จะถูกทำลายจนอาจไม่สามารถฟื้นฟูประเทศได้อีกเป็นเวลานาน
สำหรับในส่วนของสหรัฐฯและเกาหลีใต้นั้น นักวิเคราะห์ชี้ว่าต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมความก้าวร้าวของเกาหลีเหนือ กับการยั่วยุไม่ให้ความขัดแย้งขยายวงกว้าง ซึ่งทางเกาหลีใต้เองก็ได้ออกมาเน้นย้ำแผนสร้างระบบป้องกันจรวดขีปนาวุธแบบใหม่ เรียกว่าระบบ Korean Air and Missile Defense หรือ KAMD
ขณะเดียวกัน นักการเมืองเกาหลีใต้บางส่วนกำลังเรียกร้องให้เกาหลีใต้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาบ้าง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ โดย ส.ส Won Yoo-chul จากพรรค Saenuri กล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่เกาหลีใต้ต้องมีโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติ เพื่อป้องกันตนเอง เพราะไม่มีใครที่จะสามารถปกป้องเกาหลีใต้ได้
นอกจากนี้ ยังมีเสียงเรียกร้องอีกครั้งให้เกาหลีใต้ร่วมมือกับสหรัฐฯ จัดตั้งระบบป้องกันตนเองเรียกว่า US Terminal High Altitude Area Defense (THAAD) ซึ่งเป็นเรื่องที่จีนต่อต้าน เพราะเกรงว่าถูกนำไปใช้ในการสกัดกั้นจรวดขีปนาวุธของจีน
(ผู้สื่อข่าว Brian Padden รายงานจากกรุงโซล / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียงเสนอ)