เมื่อวันอังคาร พลเอกโรเบิร์ต อับรามส์ ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ ระบุว่า เกาหลีเหนือยังไม่แสดงท่าทียั่วยุต่อการที่สหรัฐฯ กำลังจะมีรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางความกังวลว่าเกาหลีเหนืออาจทดลองยิงขีปนาวุธหรืออาวุธอื่นๆ ในเร็ววันนี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม พลเอกอับรามส์ ระบุว่า การประเมินสถานการณ์นี้เป็นการประเมินตามปัจจุบัน และ “อาจเปลี่ยนแปลงได้ในสัปดาห์หน้า”
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือมักทดสอบอาวุธครั้งสำคัญ รวมถึงทดสอบขีปนาวุธหรืออาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อแสดงออกถึงศักยภาพทางทหารและสร้างข้อได้เปรียบในการเจรจจากับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เกาหลีเหนือมีท่าทีนิ่งเงียบตั้งแต่ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง โดยเกาหลีเหนือให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปิดพรมแดนเพื่อสกัดการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ การถูกลงโทษจากนานาประเทศ และน้ำท่วมครั้งใหญ่ล่าสุด
เมื่อเดือนตุลาคม เกาหลีเหนือเดินขบวนพาเหรดกองทัพ เผยถึงขีปนาวุธข้ามทวีปลูกใหญ่ล่าสุด ที่เหมือนออกแบบมาเพื่อเอาชนะขีปนาวุธของสหรัฐฯ มีการตั้งข้อสังเกตว่า เกาหลีเหนืออาจทดลองขีปนาวุธนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
พลเอกอับรามส์ ระบุว่า สหรัฐฯ จับตามองเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิดในช่วงการประชุมสภาครั้งที่แปดที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีการประกาศนโยบายทั้งในประเทศและต่างประเทศของเกาหลีเหนือ
เขายังกล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ เตรียมการตอบสนองต่อนโยบายของเกาหลีเหนือไว้หลายรูปแบบ โดยรับมือกับสถานการณ์แต่ละครั้งด้วยการ “วิเคราะห์อย่างรอบคอบ” และ “ตอบสนองอย่างเหมาะสม” และบางครั้ง การตอบโต้ที่ดีที่สุดคือการไม่ต้องทำอะไร
คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า เขาไม่รู้สึกมีพันธะต่อการหยุดทดสอบนิวเคลียร์หรือขีปนาวุธพิสัยไกลอีกต่อไป ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจทำให้เกิดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นับแต่นั้นมา เกาหลีเหนือก็ได้ทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้เท่านั้น แม้การทดสอบหลายครั้งจะขัดต่อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ให้ความสำคัญต่อการทดสอบขีปนาวุธเหล่านี้เท่าที่ควร
ผู้นำเกาหลีเหนือและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยพบกันสามครั้ง รวมถึงการพบกันในการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ ที่สิงคโปร์เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2018 ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดร่วมกันครั้งแรกของผู้นำทั้งสองประเทศ
โดยผลการประชุมครั้งนั้น มีการลงนามในข้อตกลงที่ระบุอย่างกว้างๆ ถึงการร่วมมือปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี และพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี อย่างไรก็ตาม การเจรจาของทั้งสองประเทศหลังจากนั้นกลับไม่ประสบความสำเร็จ
ว่าที่ ปธน. ไบเดนระบุว่า เขาไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะพบกับผู้นำเกาหลีเหนือแบบซึ่งหน้า แต่หวังว่าการพูดคุยนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาในระดับทำงานมากกว่า
ทั้งนี้ ไบเดนเคยช่วยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ดูแลนโยบาย “อดทนอย่างมียุทธศาสตร์” ต่อเกาหลีเหนือ เขายังวิจารณ์การที่ ปธน.ทรัมป์ เข้าหาผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือเป็นการส่วนตัว ว่ายุทธศาสตร์นี้ไม่มีประสิทธิผล และเป็นการเรียกความสนใจจากสื่อมากกว่าเป็นการจัดการเรื่องนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออย่างตรงประเด็น
ทั้งนี้ ในช่วงการหาเสียง ไบเดนมักเรียกคิมว่าเป็น “อันธพาล” “ทรราชย์” และ “เผด็จการ” ในขณะที่สื่อทางการของเกาหลีเหนือก็เรียกไบเดนว่าเป็น “คนปัญญาอ่อน” “คนโง่ไอคิวต่ำ” และ “สุนัขบ้า”