'รัฐประหารเมียนมา' อาจส่งผลรุนแรงต่อการค้าอเมริกัน

In this photo taken Saturday, April 21, 2012, young workers use sewing machines at a garment factory in Yangon, Myanmar. On Monday, April 23, 2012.

นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าเตือนว่า ปริมาณการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเมียนมาอาจลดลงอย่างมากหลังเกิดการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 สหรัฐฯ และเมียนมาได้เริ่มฟื้นฟูการค้าระหว่างกันภายใต้ข้อตกลงสิ้นสุดมาตรการคว่ำบาตรจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ใช้มานานหลายปี

โดยเมื่อปีที่แล้ว ทั้งสองประเทศมีปริมาณการค้าระหว่างกันที่ระดับ 1,300 ล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 1,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 อ้างอิงจากข้อมูลของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดหากสหรัฐฯ กลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อเมียนมาอีกครั้ง คือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้า

รายงานของสถาบันวิจัย Panjiva ของ S&P Global Market Intelligence ชี้ว่า สินค้าสิ่งทอและรองเท้าจากเมียนมามีสัดส่วนราว 41% ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากเมียนมา โดยบริษัทเสื้อผ้า LL Bean, H&M และ Adidas คือบริษัทในอเมริกาที่นำเข้าสินค้าจากเมียนมามากที่สุด

ขณะที่ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีงบประมาณ 2019-2020 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากสิงคโปร์และฮ่องกง

เมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่าจะทบทวนมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อเมียนมา หลังจากที่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารและจับกุมตัวแกนนำรัฐบาลพลเรือนหลายคนเอาไว้ รวมทั้งนางออง ซาน ซู จี