ผู้เชี่ยวชาญชี้ 'ความเหงา' ทำให้เสี่ยงเสียชีวิตพอกับสูบบุหรี่

Loneliness

วิเวก เมอร์ธี (Dr.Vivel Murthy) นายแพทย์ใหญ่ของสหรัฐฯ กล่าวในการแถลงเกี่ยวกับโรคระบาดใหญ่ครั้งล่าสุดว่า ความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่แพร่หลายในสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพพอ ๆ กับการสูบบุหรี่วันละ 12 มวน และยังเป็นเหตุให้อุตสาหกรรมด้านสุขภาพเสียหายปีละหลายพันล้านดอลลาร์อีกด้วย

นายแพทย์เมอร์ธี กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับเอพีว่า ราวครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ บอกว่าตนเคยรู้สึกอ้างว้าง “เราทราบกันดีว่าความอ้างว้างโดดเดี่ยวเป็นความรู้สึกที่ใครหลาย ๆ คนต้องเคยประสบมาก่อน เหมือน ๆ กับความหิวหรือความกระหาย เป็นความรู้สึกที่ร่างกายส่งถึงเราเมื่อสิ่งที่จำเป็นต่อความอยู่รอดขาดหายไป” ผู้คนหลายล้านคนในสหรัฐฯ กำลังดิ้นรนอยู่ในเงามืด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องเผยแพร่ข้อแนะนำนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่หลาย ๆ คนกำลังประสบอยู่

ทั้งนี้ การแถลงดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเหงา แต่จะไม่มีการปลดล็อกเงินทุนหรือโครงการของรัฐบาลกลางที่อุทิศให้กับการต่อสู้กับปัญหานี้

การวิจัยแสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันซึ่งมีส่วนร่วมกับสถานประกอบพิธีการทางศาสนา องค์กรชุมชนต่าง ๆ และแม้แต่กับสมาชิกในครอบครัวของตนกันน้อยลงในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ได้รายงานว่ามีความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนครอบครัวแบบเดี่ยวเพิ่มขึ้นสองเท่าในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา

แต่วิกฤตนี้ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงเรียนและที่ทำงานต้องปิดลง และชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องแยกตัวจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงของตน

นอกจากนี้แล้ว รายงานของนายแพทย์ใหญ่ของสหรัฐฯ ยังระบุว่า ผู้คนคัดสรรกลุ่มเพื่อนในระหว่างการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส และลดเวลาที่ใช้กับเพื่อนเหล่านั้นลง โดยชาวอเมริกันใช้เวลากับเพื่อน ๆ ประมาณวันละ 20 นาทีในปี 2020 ซึ่งลดลงจากวันละ 60 นาทีเมื่อเกือบสองทศวรรษก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน ความเหงากำลังระบาดหนักโดยเฉพาะในหมู่เยาวชนอายุ 15-24 ปี ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่มคนอายุนี้ใช้เวลากับเพื่อนลดลง 70% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ความอ้างว้างโดดเดี่ยวเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเกือบ 30% โดยรายงานเปิดเผยว่ากลุ่มคนที่เข้าสังคมไม่ได้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ นอกจากนี้ความโดดเดี่ยวยังทำให้มีโอกาสประสบภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และภาวะสมองเสื่อมอีกด้วย

นายแพทย์ใหญ่ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้บรรดาสถานที่ทำงาน โรงเรียน บริษัทเทคโนโลยี องค์กรชุมชน ผู้ปกครอง และบุคคลอื่น ๆ ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของผู้คนในประเทศ เขาแนะให้ผู้คนเข้าร่วมกลุ่มชุมชนและวางโทรศัพท์มือถือลงเวลาที่พูดคุยกับเพื่อน ๆ บรรดานายจ้างต้องคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับนโยบายการทำงานจากระยะไกล และระบบสาธารณสุขควรมีการฝึกอบรมแพทย์ให้ตระหนักถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพจากความเหงาด้วย

ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีทำก็ให้ปัญหาความเหงารุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่อ้างถึงรายงานที่พบว่า ผู้ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไปทุก ๆ วันมีแนวโน้มที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวทางสังคมมากกว่าผู้ที่ใช้แอปฯ เหล่านั้นน้อยกว่า 30 นาทีต่อวันถึงสองเท่า

นายแพทย์เมอร์ธีกล่าวว่า โซเชียลมีเดียคือสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเหงามากขึ้น รายงานของเขาชี้ให้เห็นด้วยว่า บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ เริ่มใช้มาตรการป้องกันสำหรับเด็ก โดยเฉพาะในเรื่องพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย และว่า “ไม่มีอะไรมาแทนที่การมีปฏิสัมพันธ์แบบเจอตัวได้จริงๆ ”

การที่เราเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารกันมากขึ้น ทำให้สูญเสียการมีปฏิสัมพันธ์เหล่านั้นไป ดังนั้น เราควรออกแบบเทคโนโลยีที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นแทนที่จะทำให้ความสัมพันธ์อ่อนแอลง

  • ที่มา: เอพี