บริษัท แอลจี (LG) ผู้ผลิตแบตเตอรีชั้นนำของเกาหลีใต้และบริษัทรถยนต์ ฮอนด้า (Honda) ของญี่ปุ่นจับมือกันลงทุนเป็นเงิน 4,400 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในสหรัฐฯ ซึ่งจะมุ่งทำธุรกิจผลิตแบตเตอรีสำหรับรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของฮอนด้าสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี
สองบริษัทชั้นนำจากสองประเทศนี้ร่วมกันประกาศแผนงานล่าสุดในวันจันทร์ โดยระบุว่า ทั้งคู่ยังคงหารือประเด็นที่ตั้งของโรงงานใหม่นี้อยู่ แต่ตั้งเป้าที่จะเริ่มการก่อสร้างในต้นปีหน้านี้แล้ว และวางแผนที่จะเริ่มสายการผลิตเซลล์แบตเตอรีลิเธียม-อิออนล้ำสมัยภายในปลายปี ค.ศ. 2025
รายงานข่าวระบุว่า ทำเลที่ตั้งของโรงงานภายใต้บริษัทร่วมทุนนี้น่าจะอยู่ใกล้เมืองแมรีส์วิลล์ รัฐโอไฮโอ หรือ เมืองกรีนส์เบิร์ก รัฐอินเดียนา เพราะฮอนด้ามีโรงงานขนาดใหญ่อยู่และทำหน้าที่ผลิตรถรุ่นยอดนิยม เช่น แอคคอร์ด ซีอาร์-วี และซีวิค
ในส่วนของตัวบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้ ทั้งสองบริษัทวางแผนจะจัดตั้งให้เสร็จภายในปีนี้ โดยการจะสรุปข้อตกลงให้ได้นั้นต้องรอการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลกิจการของสหรัฐฯ เสียก่อน
แถลงการณ์ร่วมของทั้งสองบริษัทระบุด้วยว่า โรงงานใหม่นี้จะรับหน้าที่ผลิตแบตเตอรีให้กับรถของฮอนดาที่ประกอบในอเมริกาเหนือเท่านั้น ซึ่งจะรวมถึงรถหรูภายใต้แบรนด์ แอคิวรา (Acura) ด้วย
ทั้งนี้ โรงงานร่วมทุนของฮอนด้านี้สะท้อนภาพของเทรนด์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการประกาศสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรีในสหรัฐฯ เพื่อจัดตั้งห่วงโซ่อุปทานในประเทศนี้สำหรับรถรุ่นใหม่ ๆ ในอนาคต ดังที่บริษัทรถทั้งหลาย เช่น ฟอร์ด (Ford) จีเอ็ม (General Motor) โตโยต้า (Toyota) ฮุนได-เกีย (Hyundai-Kia) สเตลลานติส (Stellantis) และ วินฟาสต์ (VinFast) ได้ประกาศแผนงานแบบเดียวกันไปก่อนหน้านี้แล้ว
เอพี รายงานว่า กฎหมายฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ให้ข้อเสนอจูงใจมากมายแก่ผู้ที่สนใจจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรีภายในอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมถึง เครดิตภาษีสูงสุดที่ 7,500 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดสำหรับค่ารถไฟฟ้าได้
ก่อนหน้านี้ แอลจี ได้ร่วมลงทุนเปิดโรงงานผลิตแบตเตอรีรถไฟฟ้ากับบริษัทรถอื่น ๆ ไปแล้ว อาทิ จีเอ็ม และ ฟอร์ด รวมทั้ง ฮุนไดมอเตอร์
บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ LMC Automotive ประเมินว่า ยอดขายรถไฟฟ้าในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ราว 5.6% ของยอดขายรถใหม่ในปีนี้ ก่อนจะพุ่งขึ้นเป็นกว่า 36% ในปี ค.ศ. 2030 และประเมินด้วยว่า ยอดขายรถไฟฟ้าทั่วโลกในปีนี้จะมีสัดส่วน 8.6% และจะเพิ่มขึ้นเป็น 33% ภายในปี ค.ศ. 2030
- ที่มา: เอพี