รัสเซีย-ยูเครน เดินหน้าถล่มใส่กัน-อดีตปธน.เมดเวเดฟขู่พร้อมใช้นิวเคลียร์

  • VOA

ประชาชนพร้อมใจกันเปิดไฟฉายของสมาร์ทโฟนของตนระหว่างเข้าร่วมการชุมนุมที่หน้าสถานทูตรัสเซียในกรุงเคียฟ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2566 เพื่อรำลึกวันครอบรอบ 1 ปีของการโจมตีอาคารเรือนจำในเมืองโอเลนิฟกา ทางตะวันออกของยูเครน ซึ่งทำให้มีนักโทษกองทัพยูเครนหลายสิบคนเสียชีวิต

รัสเซียและยูเครนต่างรายงานว่า ฝ่ายตรงข้ามเดินหน้าโจมตีใส่กันจนทำให้เกิดความเสียหาย รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม ขณะที่ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ ขู่ว่า มอสโกอาจต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์กับยูเครน หากการโจมตีโต้กลับของยูเครนเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมา

สำนักงานตำรวจเมืองซูมี ของยูเครน เปิดเผยในวันอาทิตย์ว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธลูกหนึ่งเข้าใส่พื้นที่เมืองแห่งนี้ และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คนและบาดเจ็บอีก 5 คน โดย มารีนา โพโลซินา โฆษกสำนักงานตำรวจระบุว่า การโจมตีครั้งนี้พุ่งเป้าเข้าใส่ “พื้นที่โครงสร้างด้านการศึกษาแห่งหนึ่ง”

คลิปวิดีโอที่ตำรวจยูเครนเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นภาพผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำพาตัวออกจากบริเวณที่ถูกโจมตี ขณะที่มีควันดำพวยพุ่งออกมาจากอาคารใกล้เคียงที่ได้รับความเสียหายด้วย

ภาพความเสียหายของอาคารศูนย์ธุรกิจนานาชาติมอสโก (Moskva City) หลังมีรายงานข่าวการถูกโจมตีด้วยโดรนในกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2566 ซึ่งมีกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า สามารถยิงโดรนของยูเครน 3 ลำตกด้วย

และเมื่อวันเสาร์ รัสเซียยิงขีปนาวุธเข้าใส่เมืองซาปอริซห์เชียที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 รายและอาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย ตามการเปิดเผยของ อนาโตลีย์ เคอร์เทียฟ เลขาธิการสภาเมือง ผ่านแอปเทเลแกรม

ขณะเดียวกัน มอสโกเปิดเผยในวันอาทิตย์ด้วยว่า กองกำลังของตนสามารถขัดขวางความพยายามของฝั่งยูเครนที่จะโจมตีไครเมียด้วยการยิงโดรนเข้ามา 25 ลำในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุด้วยว่า ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศของตนสามารถยิงโดรนของยูเครนตก 16 ลำ และว่า ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการโจมตีดังกล่าว

การโจมตีโต้กลับของยูเครน

ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวในวันอาทิตย์ว่า มอสโกอาจต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถ้าหากการโจมตีโต้กลับของฝ่ายยูเครนประสบความสำเร็จขึ้นมา

รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย ดมิทรี เมดเวเดฟ เยือนโรงงานแห่งหนึ่งในแคว้นตูลา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2566

เมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงรัสเซียที่มีประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินเป็นประธานอยู่ ระบุในข้อความที่โพสต์ทางบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ทางการว่า รัสเซียอาจถูกบีบให้ต้องยอมคืนคำจากหลักการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ หากสถานการณ์การรบเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ว่า

เมดเวเดฟ ระบุว่า “ลองจินตนาการดู หาก... การโจมตีรุกที่มีนาโต้หนุนหลัง เกิดสำเร็จขึ้นมา และพวกเขาพรากผืนดินของพวกเราไปได้ พวกเราก็จะถูกบีบให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ ตามกฎของบัญชาจากประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย” และว่า “นั่นก็จะหมายความว่า เราไม่มีทางเลือกอื่นใด ดังนั้น ศัตรูของพวกเราก็จะต้องสวดภาวนาให้นักรบของเราประสบความสำเร็จแทน พวกเขาต้องทำการให้แน่ใจว่า โลกจะไม่ต้องเห็นการยิงนิวเคลียร์ขึ้นมาอีกเลย”

รอยเตอร์ระบุว่า ประเด็นหลักการที่เมดเวเดฟซึ่งออกตัวว่าเป็นผู้ที่มีความเป็นสายเหยี่ยวมากที่สุดในรัฐบาลมอสโกอ้างถึงนั้นน่าจะเป็นหลักการด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ระบุไว้ว่า การใช้อาวุธนิวเคลียร์นั้นจะสามารถทำได้เพื่อตอบโต้การรุกรานรัสเซียที่ดำเนินการด้วยอาวุธปกติแต่นำมาซึ่งภัยคุกคามต่อการคงอยู่ของรัสเซีย”

ที่ผ่านมา ผู้ที่ติดตามและวิพากษ์วิจารณ์รัสเซียกล่าวหาเมดเวเดฟว่า มักเลือกออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาสุดโต่งเพื่อหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ชาติตะวันตกเดินหน้าส่งอาวุธให้กับยูเครน

และเมื่อวันเสาร์ ปธน.ปูติน กล่าวว่า ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสนามรบมากมายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และว่า ยูเครนเองก็สูญเสียยุทโธปกรณ์ทางทหารไปมากมายตั้งวันที่ 4 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันแรกของการโจมตีโต้กลับของกรุงเคียฟเพื่อยึดคืนอาณาเขตของตนที่รัสเซียใช้กำลังเข้าควบคุมและประกาศผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง แม้ยูเครนและชาติตะวันตกทั้งหลายจะออกมาประณามอย่างหนักก็ตาม

ข้อตกลงส่งออกธัญพืช

ปธน.ปูติน กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า ราคาธัญพืชที่ปรับสูงขึ้นนับตั้งแต่รัสเซียถอนตัวออกจากข้อตกลงธัญพืชทะเลดำ จะส่งผลดีต่อบริษัทรัสเซียรวมถึงประเทศที่ยากจนที่สุดทั่วโลกด้วย

ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน

ผู้นำรัสเซียระบุความเห็นดังกล่าวในระหว่างร่วมการแถลงข่าวที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก พร้อมกล่าวว่า รัสเซียจะร่วมแบ่งปันผลกำไรจากราคาธัญพืชที่พุ่งขึ้นกับแอฟริกาและประเทศยากจนอื่น ๆ และว่า รัสเซียไม่ได้คัดค้านการเจรจาสันติภาพกับยูเครนตามแนวคิดริเริ่มของแอฟริกาหรือจีนเลย

ความเห็นของปธน.ปูตินนี้มีออกมาวันเดียวหลังผู้นำประเทศแอฟริกาเดินทางมายังนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อร่วมการประชุมสุดยอด พร้อมเรียกร้องให้ผู้นำเครมลินยุติสงครามในยูเครน และกลับมาร่วมข้อตกลงทะเลดำที่มีองค์การสหประชาชาติเป็นตัวกลางเจรจานี้อีกครั้ง

ประธานาธิบดีซีริล รามาโพซา แห่งแอฟริกาใต้ กล่าวว่า “เรารู้สึกว่า เรามีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องสันติภาพ” เพราะว่า “ความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่นี้มีผลกระทบด้านลบต่อเราด้วย”

รายงานข่าวระบุว่า ธัญพืชของยูเครนนั้นมีความสำคัญต่อแอฟริกาไม่น้อย แม้ปูตินจะสัญญาเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มอสโกสามารถทดแทนการส่งออกธัญพืชของยูเครนไปยังแอฟริกาได้ และว่า รัสเซียจะส่งมอบธัญพืชหลายหมื่นตันให้ 5 ประเทศในแอฟริกาภายใน 6 เดือนด้วย

  • ข้อมูลบางส่วนมาจากรอยเตอร์ เอพีและเอเอฟพี