จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ระบุในวันอังคารว่า การเข้ารับวัคซีนโควิดเข็ม 2 ของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน จะเพิ่มประสิทธิผลได้ถึง 94% ตามรายงานของเอพีและรอยเตอร์
จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เผยผลการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนเข็มสองกับอาสาสมัครในวัยผู้ใหญ่ 30,000 คน พบว่า วัคซีนเข็มสองของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีประสิทธิผลที่ 94% แต่มีประสิทธิผลที่ 75% ในการทดสอบกับอาสาสมัครทั่วโลก
วัคซีนโควิดของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ได้รับการคาดหมายให้เป็นหนทางในการรับมือกับโควิดที่สำคัญของโลก จากการเป็นวัคซีนโควิดชนิดเข็มเดียว แต่ทางจอห์นสันแอนด์จอห์นสันได้เดินหน้าศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนกระตุ้นภูมิมาตลอด โดยแถลงการณ์ของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ในวันอังคาร ระบุว่า ระหว่างที่วัคซีนโควิดชนิด 1 โดส ยังมีประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งในการป้องกันโควิด แต่วัคซีนกระตุ้นภูมิจะเพิ่มระดับการป้องกันโควิด และยืดระยะเวลาการป้องกันได้อย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อเดือนก่อน จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เผยข้อมูลการศึกษาว่าการฉีดวัคซีนเข็มสองภายหลังเข็มแรกไป 2 เดือน จะเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้ถึง 4-6 เท่า และหากฉีดเข็มสองหลังผ่านไป 6 เดือนแล้ว จะช่วยกระตุ้นภูมิได้ถึง 12 เท่า
ทางจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ยังชูหลักฐานการศึกษาประสิทธิผลวัคซีนโควิดในโลกแห่งความเป็นจริง กับผู้รับวัคซีนเกือบ 400,000 คนในสหรัฐฯ ที่พบว่าการฉีดวัคซีน 1 โดส มีประสิทธิผล 79% ในการป้องกันการติดเชื้อ และมีประสิทธิผล 81% ในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง เมื่อเทียบกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และจะมีระดับป้องกันได้สูงสุดถึง 8 เดือน ขณะที่ยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่าประสิทธิผลของวัคซีนลดลงในช่วงการศึกษาเมื่อเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคมที่โควิดกลายพันธุ์เดลตาระบาดหนักในประเทศ
เมื่อเดือนที่แล้ว FDA และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) แนะนำประชาชนบางส่วนที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จากไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
แต่ทางกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนระหว่างประเทศ ได้ร่วมตีพิมพ์รายงานในวารสารการแพทย์ The Lancet ต่อต้านการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้แก่ประชากรทั่วไป โดยระบุว่า ผลการศึกษาชี้ว่าวัคซีนที่ใช้อยู่ทั่วโลกยังคงสามารถป้องกันเชื้อโคโรนาไวรัสได้ดี รวมทั้งสายพันธุ์เดลตา โดยเฉพาะอาการป่วยหนักและการเสียชีวิต และว่าการดัดแปลงวัคซีนให้เหมาะกับไวรัสแต่ละสายพันธุ์ น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์
เช่นเดียวกับองค์การอนามัยโลกที่ออกโรงขอให้ประเทศร่ำรวยชะลอการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้ประชาชนของตนไว้ก่อนจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศรายได้ต่ำและปานกลางจะมีวัคซีนโควิดเพียงพอ
(ที่มา: เอพีและรอยเตอร์)