Your browser doesn’t support HTML5
เกิดการสังหารหมู่ที่บ้านพักคนพิการในญี่ปุ่น มีคนพิการอย่างน้อย 19 คนเสียชีวิตและอีกหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บ
คนญี่ปุ่นทั้งประเทศอยู่ในภาวะตื่นตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลออกมากล่าวแสดงความเสียใจต่อญาติพี่น้องของผู้รับเคราะห์
สำหรับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือสังหารนั้น ทางการญี่ปุ่นระบุว่า คือนาย Satoshi Uematsu อดีตพนักงานวัย 26 ปี ของบ้านพักคนพิการที่เมือง Sagamihara City ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันตกเฉียงใต้เพียง 40 กิโลเมตร
หนังสือพิมพ์ Asahi Shimbun รายงานว่า บุคคลผู้นี้ได้ไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว และบอกว่าที่ทำการสังหารก็เพราะต้องการกำจัดคนพิการให้หมดโลก
ส่วน NHK สื่อของทางการญี่ปุ่น รายงานว่าตำรวจค้นพบถุงบรรจุมีดหลายเล่มในความครอบครองของเขา อย่างน้อยเล่มหนึ่งเปื้อนเลือด โดยทางการตำรวจแถลงว่า กำลังสืบสวนหาสาเหตุจูงใจมือสังหารผู้นี้อยู่
บ้านพักคนพิการแห่งนี้มีคนพิการพำนักอาศัยอยู่มากกว่า 150 คน
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราอาชญากรรมต่ำสุดประเทศหนึ่งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ยังมีการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวดกวดขัน โดยผู้ที่ยื่นคำร้องขอมีอาวุธปืนจะต้องผ่านการฝึกอบรม การสอบประวัติและสุขภาพจิต
การใช้อาวุธปืนสังหารคนจึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น แม้กระทั่งมีดก็มีการควบคุม โดยจะมีมีดสองคมยาวเกินกว่า 5.5 เซนติเมตรไว้ในความครอบครองไม่ได้ กฎหมายควบคุมมีดมีออกมาหลังกรณีการสังหารหมู่ในกรุงโตเกียวเมื่อ 8 ปีที่แล้ว
ทางด้านนโยบายคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นก็จำกัดอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยจากบริเวณความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนหนึ่งช่วยให้ญี่ปุ่นไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาการก่อการร้าย อย่างที่ยุโรปและอเมริกากำลังประสบอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนตำหนิญี่ปุ่นที่ไม่ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยมากกว่าที่เป็นอยู่ และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจให้ความเห็นว่า ญี่ปุ่นควรเพิ่มจำนวนผู้อพยพเข้าเมือง เพราะเวลานี้จำนวนผู้สูงอายุในประเทศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในอีกด้านหนึ่ง มีการโจมตีทำร้ายผู้สูงวัยและคนพิการหลายครั้งในปีนี้ กรณีเช่นนี้เรียกกันว่า “ฆาตกรรมที่ไม่ต้องถาม” โดยผู้ก่อเหตุไม่ได้มีความเกี่ยวดองแต่อย่างใดกับผู้รับเคราะห์ และเป้าหมายโดยทั่วไปคือผู้หญิงและคนพิการ
และจากเหตุการณ์ล่าสุดนี้ อาจารย์วิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยโอซากา ไมเคิล กิลลัน เพคกิต ให้ความเห็นส่งท้ายว่า จำเป็นจะต้องมีระบบเข้าขัดขวางแทรกแซงแต่เนิ่นๆ ในระบบบำบัดสุขภาพจิตในญี่ปุ่น