อากาศที่อบอุ่นในรัฐฟลอริดานั้นนอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนหลายล้านคนมายังรัฐที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐฯ แล้ว ยังกลายมาเป็นที่อยู่ใหม่ของสัตว์ป่าจากแหล่งอื่นซึ่งไม่เป็นที่ต้อนรับของคนและสัตว์ในพื้นที่ด้วย โดยสัตว์เหล่านี้เข้ามาทำลายระบบนิเวศของรัฐอย่างร้ายแรงจนอาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือบริเวณที่เกิดวิกฤตการรุกรานของสัตว์ที่รุนแรงที่สุดในสหรัฐฯ แล้ว
หนึ่งในตัวอย่างของสถานการณ์ที่ว่านี้ คือ กรณีของเต่าเดือยแอฟริกา หรือว่า เต่าซูคาตา ที่ดูเหมือนว่าไม่มีพิษภัยใด ๆ แต่ในความเป็นจริง พวกมันแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติจากเต่าโกเฟอร์ที่เป็นสัตว์พื้นเมือง ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศของรัฐฟลอริดา
ไคลี เรย์โนลด์ส รองผู้อำนวยการ Amazing Animal ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อการศึกษาและช่วยเหลือสัตว์หายาก โดยไม่แสวงผลกำไร เล่าว่า “พวกเต่าโกเฟอร์ จะขุดโพรงขนาดใหญ่ไว้ใต้ดิน และสัตว์อื่นๆ อีกจำนวนมากก็ใช้โพรงเหล่านี้เป็นที่พักอาศัยเช่นกัน…แต่ถ้าจำนวนของเต่าโกเฟอที่ช่วยสร้างที่อยู่ให้กับสัตว์อื่น ๆ อีกนับร้อยเกิดลดลง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสัตว์เหล่านั้น”
นอกจากเต่าแล้ว ยังมีสัตว์ต่างถิ่นจำนวนหลายร้อยชนิดที่ปรากฏขึ้นในรัฐฟลอริดา และบางตัวก็เข้ามายึดที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งยังคุกคามสิ่งแวดล้อมด้วย
ในเรื่องนี้ เคิร์ต ฟุต จากอุทยานแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า เพราะธรรมชาตินั้นพึ่งพาความหลากหลายเพื่อการดำรงอยู่ การขาดซึ่งความหลากหลายก็จะหมายถึงโอกาสของการล่มสลายได้
ทั้งนี้ รัฐฟลอริดาทุ่มเงินมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อที่จะควบคุมสัตว์สายพันธุ์ที่เข้ามารุกราน อย่างไรก็ดี คำถามที่สำคัญก็คือ นี่จะเป็นการต่อสู้ในสงครามที่ไม่วันชนะหรือไม่
ไมค์ ไฮล์แมน ผู้อำนวยการ Gatorland Park ธุรกิจทัวร์ชมสัตว์ป่าในฟลอริดา ให้ทัศนะว่า “เมื่อสายพันธุ์ใด ๆ เริ่มแพร่พันธุ์ในป่าและพวกมันหาระบบที่เอื้ออำนวยให้ตัวเองเจอ การที่จะกำจัดพวกมันให้สิ้นซากนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
ตัวอย่างของปัญหานี้คือ กรณีของงูหลามพม่าซึ่งหลบหนีจากศูนย์เพาะพันธุ์ในท้องถิ่นที่ถูกทำลายโดยพายุเฮอริเคนเช่นเมื่อ 30 ปีก่อน และปรากฏว่าทุกวันนี้ มีผู้พบงูสายพันธุ์ดังกล่าวจำนวนหลายหมื่นตัวในรัฐฟลอริดาแล้ว
ไฮล์แมน ผู้อำนวยการ Gatorland Park กล่าวเสริมว่า งูเหล่านี้สามารถเอาชนะผู้ล่าสูงสุดในพื้นที่ ซึ่งก็คือ สัตว์จำพวกจระเข้ จากนั้น พวกมันก็จะกำจัดสัตว์พื้นเมืองอื่น ๆ อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู และกระต่าย ที่ควรเป็นอาหารของสัตว์ผู้ล่าอื่น ๆ ดังนั้นพวกงูหลามจึงเป็นผู้แย่งอาหารกับสัตว์พื้นเมืองของฟลอริดา และเนื่องจากงูหลามเป็นสายพันธุ์ที่เด่นกว่าในสิ่งแวดล้อมใหม่ (dominant species) พวกมันจึงเป็นกลุ่มที่เอาชนะสัตว์อื่น ๆ ได้โดยปริยาย
โดยรวมแล้ว สัตว์รุกรานต่างถิ่นจำนวนมากมีที่มาจากการเป็นสัตว์เลี้ยง
เรโนลด์ส จากองค์กร Amazing Animal ยกตัวอย่างของนกแก้ว ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนได้ถึงเกือบ 80 ปี หรือเต่า ที่มีอายุยืนถึง 100 ปี และประเด็นนี้จึงกลายมาเป็นภาระผูกพันของผู้เลี้ยงจน บางคนตัดสินใจนำสัตว์ต่าง ๆ ไปปล่อยในรัฐฟลอริดา เพราะเห็นว่าเป็นที่ ๆ น่าอยู่
สัตว์ต่างถิ่นอีกประเภทที่กลายมาเป็นปัญหาของรัฐนี้คือ หมูป่าซึ่งนักสำรวจชาวสเปนนำมาเลี้ยงในทวีปนี้ตั้งแต่เมื่อหลายศตวรรษก่อน และในปัจจุบันนี้สามารถพบได้ทั่วฟลอริดา โดยพวกมันจะขุดดินและบางครั้งก็ไปสร้างความเสียหายให้กับพืชพื้นเมืองด้วย
เบน กูโยติ ผู้จัดการที่ดินบริเวณชายฝั่ง Lake Apopka North Shore (ทะเลสาบอะพัพคาตอนเหนือ) กล่าวว่า หมู่ป่ายังเปิดทางให้กับพืชต่างถิ่นเข้ามารุกรานรัฐนี้และก่อกวนคุณภาพดินด้วย ดังนั้น สัตว์ประเภทนี้จึงไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศด้วยตัวเอง แต่ยังเปิดช่องให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เข้ามารุกรานอีกด้วย
ขณะเดียวกัน เชอรีล มิลเลท ผู้จัดการฝ่ายอนุรักษ์เขตอนุรักษ์ Tiger Creek หนึ่งในพื้นที่ ที่มีระบบนิเวศความหลากหลายที่สุดในโลก แสดงความกังวลเกี่ยวกับกิ้งก่าต่างถิ่นที่เข้ามารุกรานฟลอริดาเช่นกัน
มิลเลท เล่าว่า มีผู้พบว่า กิ้งก่าต่างถิ่นที่ว่าอาศัยอยู่ฟลอริดาตอนใต้ภายในโพรงของเต่าโกเฟอร์ และพบว่า มีซากของลูกเต่าโกเฟอร์ภายในตัวของกิ้งก่าสายพันธุ์เตกูด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นที่ฟลอริดา
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ในรัฐฟลอริดาได้ใช้วิธีการตามล่า เฝ้าติดตาม และใช้โครงการนิรโทษกรรมสัตว์เลี้ยงพันธุ์หายาก รวมถึงวิธีการอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับสัตว์สายพันธุ์รุกราน เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้แล้ว แต่กระนั้น ความเป็นจริงก็คือ นี่ดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ ที่ไม่มีวันจะสิ้นสุดในเร็ว ๆ นี้อยู่ดี
- ที่มา: วีโอเอ