Your browser doesn’t support HTML5
เป็นเวลามากกว่า 50 ปีแล้วที่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ตัดสินให้กฏหมายต่างๆที่ห้ามการแต่งงานระหว่างสีผิวและเชื้อชาติ เป็นโมฆะ โดยอธิบายว่าข้อบังคับเหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิความเสมอภาคที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ด้วยเหตุนี้เองการสานสัมพันธ์ความรักข้ามสีผิวและการมีบุตรซึ่งเป็นลูกผสมนั้นจึงมีให้เห็นบ่อยขึ้นและกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมอเมริกัน
ภาพของครอบครัวที่มีความหลากหลายทางสีผิว (Interracial family) ใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดังอย่างโอลด์ เนวี่ หรือ โฆษณาของบริษัทประกัน สเตทส์ ฟาร์ม ที่ชาวผิวดำคุกเค่าขอแฟนสาวผิวขาวแต่งงาน นั้นล้วนเป็นกลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าผ่านการส่งสารสมัยใหม่ของแบรนด์ต่างๆ ซึ่งหากเทียบกับหลายสิบปีก่อนนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้จะไม่มีโอกาสปรากฏในสื่อต่างๆของสหรัฐฯเลย
อย่างไรก็ตาม โฆษณาส่วนใหญ่นั้นยังเน้นการสะท้อนความรักข้ามผิวระหว่างคนผิวขาวและดำเพียงกลุ่มเดียว แต่ผู้บริหารบริษัทโฆษณาโจนส์ของเมืองซีแอตเทิล มาร์ค โจนส์ ก็ให้เหตุผลว่าบริษัทของเขายังพยามอย่างต่อเนื่องที่จะส่งสารให้ผู้บริโภคเห็นถึงวิถีการใช้ชีวิตของคนอเมริกันที่สะท้อนการหลอมรวมกันของสีผิวและเชื้อชาติต่างๆ
ทั้งนี้ อาจารย์ด้านการตลาดของมหาวิทยาลัยเพสในเมืองนิวยอร์ก อธิบายว่าที่แบรนด์ต่างๆพยามปรับวิธีการโฆษณานั้น เพราะ ต้องการให้ลูกค้าทุกกลุ่ม รวมทั้งลูกค้าผิวสี ตระหนักถึงคุณค่าด้านความเสมอภาคที่แบรนด์เหล่านี้ให้ความสำคัญ และ นอกจากนี้ สินค้าต่างๆยังไม่อยากถูกประณามว่าใช้นักแสดงผิวขาวโฆษณาเพียงอย่างเดียวอีกด้วย
แต่ก็ใช่ว่าโฆษณาเหล่านี้จะได้รับกระแสการตอบรับดีจากลูกค้าทุกกลุ่ม เช่น เมื่อปี 2013 โฆษณาอาหารเช้ากึ่งสำเร็จรูปที่ทำจากธัญพืชแบรนด์หนึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการเลือกนักแสดงผิวดำชายมารับบทเป็นพ่อและนักแสดงนำผิวขาวหญิงมารับบทเป็นแม่
ผู้เชี่ยวชาญด้านการโฆษณาระหว่างสีผิว (Interacial advertising) ของมหาวิทยาลัยมอร์เเกน สเตท นายเจสัน จอห์นสัน อธิบายว่า คนผิวขาวส่วนใหญ่จะรู้สึกสบายใจเมื่อดูโฆษณาที่ใช้นักแสดงนำเป็นชายผิวขาวกับหญิงผิวดำมากกว่านักแสดงนำชายผิวดำกับหญิงผิวขาว
เพราะเหตุนี้เอง 70 เปอร์เซ็นต์ ของโฆษณาระหว่างสีผิวในระยะสี่ปีที่ผ่านมาจึงใช้รูปแบบดังกล่าวเพื่อให้คนดูรู้สึกดี แต่นั่นก็หมายความโฆษณาส่วนใหญ่ที่รณรงค์ด้านความเสมอภาคนั้นไม่ได้สะท้อนความจริงในสังคมอเมริกันอย่างแท้จริง
นักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยสซานฟรานซิสโก สเตท ชี้ว่า สิ่งที่สำคัญมากกว่ากระแสตอบรับทั้งเชิงบวกและลบสำหรับหลายๆแบรนด์ คือ การแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้าเหล่านี้ให้ความสำคัญเรื่องความเสมอภาคและความมุ่งมั่นในการส่งสารดังกล่าว