พ่อแม่ผู้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในอินโดนีเซีย ใช้ลูกเป็นเครื่องมือสังหารชาวคริสต์

Police officers stand guard in front of a Catholic Church in Ngagel, Surabaya.

Your browser doesn’t support HTML5

พ่อแม่ผู้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในอินโดนีเซียใช้ลูกเป็นเป็นเครื่องมือสังหารชาวคริสต์

ตำรวจอินโดนีเซียกล่าวว่า ครอบครัวที่มีสมาชิก 6 คนอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่โบสถ์ชาวคริสต์ 3 แห่งในเมืองสุราบายาของอินโดนีเซีย วันอาทิตย์ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต อย่างน้อย 13 รายและบาดเจ็บ 41 คน

ครอบครัวดังกล่าวเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศซีเรียไม่นานนี้ ตำรวจกล่าวด้วยว่าผู้ก่อเหตุมีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม Jemaah Ansharut Daulah ซึ่งได้รับแนวคิดมาจากกลุ่มรัฐอิสลาม

และกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ก็อ้างความรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ในเมืองสุราบายา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอินโดนีเซีย

ด้านประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ประณามการโจมตีครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำที่ “ป่าเถื่อน”

เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ครอบครัวผู้ก่อเหตุ นอกจากจะมีพ่อและแม่ แล้วยังประกอบด้วยลูกสาวและลูกชายทั้งหมดอีก 4 คน โดยลูกคนเล็กสุดเป็นผู้หญิงวัย 9 ขวบ

สำนักงานเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นาย António Guterres กล่าวในแถลงการณ์วันอาทิตย์ว่ารู้สึก “ตกตะลึง” ที่มีการใช้เด็กในการโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย

โฆษกของสำนักงานเลขาธิการ UN กล่าวว่า นาย Guterres ย้ำถึงการสนับสนุนรัฐบาลและชาวอินโดนีเซียในความพยายามต่อสู้และป้องกันการก่อการร้าย ตลอดจนความรุนแรงจากความคิดสุดโต่ง

ความพยายามดังกล่าวรวมถึงการสร้างสังคมที่มีความหลากหลาย สนับสนุนความคิดสายกลาง และการยอมรับความแตกต่างในสังคม

องค์การชาวมุสลิมและชาวคริสต์ร่วมกันประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้น และระบุในแถลงการณ์ว่า “ไม่มีศาสนาใดในโลกที่เชื่อในเหตุผลว่าความรุนแรงจะทำให้เป้าหมายบรรลุผล”

แนวร่วมทางศาสนายังได้เรียกร้องให้รัฐบาลทำงานอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดในการจัดการกับความคิดสุดโต่งและการก่อการร้าย

ตำรวจได้สั่งปิดศาสนาสถานชาวคริสต์ทั้งหมดในเมืองสุราบายา และเทศกาลอาหารที่เมืองดังกล่าวยังได้ยกเลิกกิจกรรมด้วย

นอกจากนี้ โบสถ์ชาวคริสต์ที่กรุงจาการ์ตา ยังได้งดกิจกรรมทางศาสนาในวันอาทิตย์เช่นกัน และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงยกระดับการสอดส่องเหตุการณ์รุนแรงที่นครหลวงของงอินโดนีเซีย

(รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของ Fern Robinson และ Esha Sarai)