ยอดผู้ติดโควิด-19ในประเทศอินเดียยังคงไต่ขึ้นสูงใกล้แตะ 400,000 คนต่อวัน ท่ามกลางการขาดแคลนของวัคซีน ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเชื่อว่ายอดผู้ติดเชื้อจริงสูงกว่ายอดอย่างเป็นทางการ
ในวันศุกร์ กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 386,452 คน นับว่าเป็นเวลา 9 วันติดต่อกันแล้วที่ยอดผู้ติดโควิด-19 รายใหม่พุ่งสูงเกินวันละ 300,000 คน ในขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของประเทศเชื่อว่ายอดผู้ติดเชื้อจริงนั้นอาจจะสูงกว่ายอดอย่างเป็นทางการ 5-10 เท่า
การระบาดใหญ่ระลอกที่สองของอินเดียในครั้งนี้ สร้างวิกฤติให้กับระบบการให้บริการด้านสาธารณสุขของอินเดีย โรงพยาบาลต่าง ๆ รับผู้ติดโควิด-19 ไว้จนล้น ท่ามกลางการขาดแคลนออกซิเจนสำหรับผู้ป่วย สวนสาธารณะและลานจอดรถหลายแห่งได้ถูกปรับมาใช้เป็นสถานฌาปณกิจศพชั่วคราว และมีการเผาศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งกลางวันและกลางคืน ในขณะที่หลายครอบครัวต้องแย่งหาซื้อยาและออกซิเจนที่เหลืออยู่น้อยเต็มที
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในอินเดียกล่าวว่าวิกฤติครั้งนี้เกิดจากการระบาดของโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์ และการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 เช่นการห้ามไม่ให้มีการรวมตัวกันของคนจำวนมาก
ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตในอินเดียมีมากกว่า 200,000 คน ในขณะที่ยอดรวมผู้ติดเชื้อทั้งหมดสูงเกือบ 19 ล้านคน โดย 8 ล้านคนนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการระบาดโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์ ประจวบกับมีการจัดงานที่เรียกว่าเป็น “super-spreader” หรือมีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก เช่น กิจกรรมการเมืองและเทศกาลงานประเพณีทางศาสนา
ยอดผู้ป่วยโควิด-19 ในอินเดีย เป็นรองแต่เพียงสหรัฐฯ เท่านั้น โดยสหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัส 32 ล้านคน ในขณะที่อินเดียมีผู้ติดเชื้อแล้ว 18.3 ล้านคน ตามข้อมูลของศูนย์ข้อมูลโคโรนาไวรัสแห่งจอห์นส์ ฮอพกินส์
ฮานส์ คลูก ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกแห่งภูมิภาคยุโรป ได้ออกมาเตือนในวันพฤหัสบดีว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอินเดียสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทั่วโลก หากไม่มีการเข้มงวดกับมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 มีการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก มีไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ และมีการฉีดวัคซีนในอัตราที่ต่ำ ปัจจัยเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดวิกฤติโควิด ที่เกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ
นอกจากนี้ หลายรัฐในอินเดียยังได้รายงานว่าวัคซีนต้านโควิด-19 หมดลงแล้ว ซึ่งทำให้การระบาดระลอกที่ 2 เลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม
ถึงแม้จะเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่อินเดียกลับประสบกับภาวะขาดแคลนวัคซีนเสียเอง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อแผนขยายการฉีดวัคซีนที่จะเริ่มขึ้นในวันเสาร์นี้ ขณะนี้มีประชากรเพียง 9% ของประชากรทั้งหมด 1,400 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วหนึ่งโดส ตามการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
อินเดียประสบความยากลำบากในการที่จะผลิตวัคซีนให้ได้มากกว่า 80 ล้านโดสต่อเดือน เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบที่จำเป็นในการผลิต และเหตุไฟไหม้ที่สถาบันซีรัม (Serum Institute) ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกา
การขาดแคลนวัคซีนทำให้สถานที่ฉีดวัคซีนบางแห่งต้องปิดชั่วคราว และบางแห่งต้องยกเลิกโครงการฉีดวัคซีนที่จะมีขึ้นในวันเสาร์นี้
นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ได้ประชุมกับคณะรัฐมนตรีในวันศุกร์ ซึ่งทุกคนเห็นว่าการระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ เป็นวิกฤติการณ์ที่เลวร้ายที่สุด “ในรอบศตวรรษ” ของอินเดีย
ในขณะเดียวกัน ความช่วยเหลือจากนานาประเทศได้ทยอยมาถึงอินเดีย
สหรัฐฯ ส่งเที่ยวบินให้ความช่วยเหลือเที่ยวบินแรกมาในวันศุกร์ ซึ่งมีถังออกซิเจน เครื่องช่วยหายใจ ชุดตรวจโควิด-19 หน้ากาก เครื่องวัดระดับออกซิเจน และวัตถุดิบในการผลิตวัคซีน เป็นต้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลล่าร์ และให้นำวัคซีนแอสตราเซเนกาที่สหรัฐฯ สั่งเอาไว้ ให้ส่งไปที่อินเดีย จำนวน 20 ล้านโดส
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน ได้ทวีตว่า “เช่นเดียวกับที่อินเดียได้ช่วยเหลือเราในช่วงแรกของการระบาด สหรัฐฯ มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลืออินเดียอย่างเร่งด่วนเช่นกันในช่วงเวลาที่อินเดียต้องการความช่วยเหลือ”
สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ และโรมาเนีย ได้ส่งความช่วยเหลือมาเช่นเดียวกัน ส่วนรัสเซียได้ส่งวัคซีนสปุตนิค วี (Sputnik-V) โดยมีกำหนดถึงในวันเสาร์นี้
ในขณะเดียวกันประชาชนที่หวาดวิตกได้พากันกักตุนเวชภัณฑ์ โดยร้านเวชภัณฑ์แห่งหนึ่งกล่าวว่ายอดขายของร้านได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า โดยเฉพาะจากสินค้าทุกประเภทที่เกี่ยวกับออกซิเจน ในขณะที่บางแห่งเกิดการขาดแคลนยาเพราะผู้แคนแห่ซื้อตุนเอาไว้ ถึงแม้พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ให้คำปรึกษารัฐบาลอินเดียมองว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะพุ่งขึ้นสูงสุดในสัปดาห์หน้า ระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม ซึ่งเร็วกว่าการคาดการณ์เดิม ก่อนที่ยอดผู้ติดเชื้อจะเริ่มลดลง ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่หาได้ยากในช่วงวิกฤติโควิด-19 ของอินเดียในครั้งนี้