Your browser doesn’t support HTML5
ประวัติศาสตร์ 224 ปีของสหรัฐฯ ต้องบันทึกไว้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำประเทศคนแรกที่ถูกเสนอถอดถอนออกจากตำแหน่งและวุฒิสภาลงมติว่าไม่มีความผิด ระหว่างลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยที่ 2 เพื่อดำรงตำแหน่งต่อ
ผลการลงมติโดยสภาสูงสหรัฐฯ ที่ออกมานี้อาจเป็นรูปการณ์ที่ทั่วโลกคาดไว้แล้ว แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้คือผลกระทบของกระบวนการนี้ต่อวิถีการเมืองสหรัฐฯ ที่หลายฝ่ายไม่ได้ประเมินไว้ก่อน
วีโอเอ รวบรวมความเห็นจากนักวิเคราะห์การเมืองเกี่ยวกับสิ่งที่ได้จากกระบวนการถอดถอนที่ใช้เวลากว่า 4 เดือนก่อนจะได้ผลสรุปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ประเด็นแรกคือ การเมืองแบบยึดแนวทางพรรค (partisanship) ที่สมาชิกพรรครีพับรีลิกันซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาสูง แสดงให้เห็นผ่านการลงมติไม่ถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ว่าทุกคนยังยืนหยัดข้างประธานาธิบดีของพวกเขา เป็นการตอกย้ำสภาวะแบ่งแยกทางการเมืองของประเทศยังชัดเจนอยู่ แม้ว่า วุฒิสมาชิก มิตต์ รอมนีย์ จะเป็นสมาชิกพรรคเพียงคนเดียวที่โหวตแตกต่างจากคนอื่นในญัตติการใช้อำนาจในทางที่ผิด
ประเด็นที่สองคือ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งถัดไปจะสรุปความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการถอดถอนผู้นำประเทศภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดย ปีเตอร์ เชน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ จากมหาวิทยาลัย โอไฮโอ สเตท กล่าวว่า หลายคนยังสงสัยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการถอดถอนที่เพิ่งผ่านไปจะส่งสัญญาณอะไรให้แก่รัฐบาลถัดไป เพราะถ้าหากปธน.ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน โอกาสที่จะเห็นรัฐสภาสหรัฐฯ ทำการถอดถอนผู้นำอาจจะหดหายไป แต่หากตัวแทนพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง นั่นจะเป็นเสมือนการยืนยันการตัดสินใจของพรรคเดโมแครตในการดำเนินการถอดถอนปธน.ทรัมป์ ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคตก็เป็นได้
ประเด็นถัดไปคือ มติไม่ถอดถอนปธน.ทรัมป์เป็นเหมือนการเปลี่ยนบรรทัดฐานของ “การใช้อำนาจในทางที่ผิด” ซึ่งเป็นญัตติที่ใช้ในกระบวนการถอดถอนผู้นำ เพราะการที่สมาชิกพรรครีพับลิกันมองว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวที่ทางพรรคเดโมแครตยกขึ้นมาเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์ ไม่ชัดเจนและมีน้ำหนักพอที่จะใช้ในการดำเนินกระบวนการนี้เสียด้วยซ้ำ ทำให้หลายคนสงสัยว่าตัวประธานาธิบดีนั้นจะต้องใช้อำนาจในทางที่ผิดมากเพียงใด ถึงจะต้องถูกถอดถอนได้
นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ยังมองว่าดุลอำนาจของรัฐบาลสหรัฐฯ เหมือนจะถ่วงไปทางฝ่ายบริหารมากขึ้น ดังเช่นที่วุฒิสมาชิกอิสระ แองกัส คิง จากรัฐเมน เตือนไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า มติไม่ถอดถอนปธน.ทรัมป์ จะเป็น ”การถ่ายอำนาจจากฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา ไปยังฝ่ายบริหาร ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ”
ขณะที่ข้อกล่าวหาว่า ปธน.ทรัมป์ขัดขวางการทำงานของสภา ขัดแย้งกับเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการแบ่งแยกอำนาจระหว่างสองฝ่ายให้เด็ดขาด ซึ่งพรรครีพับลิกันไม่เห็นว่าเป็นเรื่องจริงที่ควรนำไปสู่การถอดถอนนั้น พรรคเดโมแครตเชื่อว่ายิ่งทำให้ระบบการเมืองสหรัฐฯ เข้าใกล้จุดที่ผู้นำฝ่ายบริหารมีสถานะเทียบกับจักรพรรดิ (Imperial Presidency) มากขึ้น
และแม้ว่าประเด็นนี้จะยังเป็นการคาดการณ์ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ศาสตราจารย์เชน เชื่อว่า ผลลงมติที่เกิดขึ้นจะยิ่งทำให้ประธานาธิบดีคนต่อๆ ไปมีโอกาสขัดขวางการทำงานของสภามากขึ้นไปอีก
ท้ายสุด การดำเนินกระบวนการถอดถอนโดยไม่เรียกพยานขึ้นมาให้ปากคำอาจกลายเป็นหลักปฏิบัติต่อไปในอนาคตได้ เพราะการไต่ส่วนที่เพิ่งเกิดขึ้นในสภาสูงสหรัฐฯ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวุฒิสภาสหรัฐ แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะนำพยานขึ้นมาให้ปากคำในขั้นตอนไต่สวนของสภาสูง แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันอ้างว่า การให้ปากคำของพยานควรเกิดขึ้นในชั้นการทำงานของสภาล่างมากกว่า
ภายหลังกุมชัยชนะจากกระบวนการถอดถอนครั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ สมาชิกพรรครีพับลิกันและผู้สนับสนุนหัวอนุรักษ์นิยมทั้งหลายพร้อมใจกันเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ วุฒิสมาชิก มิตต์ รอมนีย์ ซึ่งเป็นสมาชิกคนเดียวที่ลงมติแตกต่างจากสมาชิกคนอื่น
ปธน.ทรัมป์ เริ่มวิพากษ์รอมนีย์ ด้วยข้อความทวิตเตอร์ที่ระบุว่า “ถ้าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มิตต์ รอมนีย์ ที่พ่ายแพ้ในการเข้าชิงตำแหน่ง ใช้สรรพกำลังและความโกรธไปยัง บารัค โอบามา เหมือนที่เขาทำกับผม เขาคงชนะการเลือกตั้งไปแล้ว”
และในระหว่างงานเลี้ยง National Prayer Breakfast เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวกระทบกระเทียบรอมนีย์ ระหว่างการปราศรัยอีกครั้ง ว่าเขาไม่ชอบคนที่อ้างศรัทธามาเป็นเหตุผลในการทำสิ่งที่รู้อยู่ว่าผิด ซึ่งผู้ที่ได้ยินล้วนเข้าใจว่าเป็นการพูดถึงรอมนีย์ เพราะวุฒิสมาชิกรีพับลิกันคนนี้ กล่าวก่อนการลงมติแล้วว่า เขาคิดว่าสิ่งที่ปธน.ทรัมป์ทำเป็นสิ่งที่ผิด หากพิจารณาตามหลักการของสิทธิ์การเลือกตั้ง ผลประโยชน์ของประเทศชาติ และคุณค่าพื้นฐานของชาวอเมริกัน
ขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ บุตรชายคนโตของผู้นำสหรัฐ เรียกร้องให้พรรครีพับลิกันขับรอมนีย์ออกจากพรรค พร้อมกับเรียกวุฒิสมาชิกผู้นี้ว่าเป็น “พวกต่ำช้าสามานย์”
โฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว สเตฟานี กริชแชม ผู้เคยทำงานกับรอมนีย์ ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2012 กล่าวว่า “มีแค่คู่แข่งทางการเมืองของท่านประธานาธิบดี ก็คือ สมาชิกพรรคเดโมแครต และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่พ่ายแพ้ในการชิงตำแหน่ง ที่ลงมติสนับสนุนญัตติถอดถอนที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมานี้”
นอกจากนั้น สื่ออนุรักษ์นิยมหลายรายออกมาร่วมให้ความเห็นมากมาย เช่น ฌอน แฮนนิตี้ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพันธุ์แท้ของประธานาธิบดีทรัมป์ จากสถานีข่าว ฟอกซ์ นิวส์ เรียกวุฒิสมาชิกรอมนีย์ว่า “เป็นคนด้อยความสำคัญ” และว่า “การพ่ายแพ้ในการเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทำให้คนเราตกต่ำได้จริงๆ”