คณะผู้พิพากษาศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (International Criminal Court) มีมติรับรองคำร้องจากอัยการที่ขอให้มีการสืบสวนทางอาญาต่อการกระทำผิดต่อชาวมุสลิมโรฮิงจะ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในเมียนมาร์
แถลงการณ์ของคณะผู้พิพากษาระบุว่า ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศมีอำนาจทางกฎหมายในการสืบสวนอาชญากรรมต่อชาวโรฮิงจะที่มีบางส่วนเกิดขึ้นในบังกลาเทศซึ่งเป็นประเทศสมาชิกของศาล แม้เมียนมาร์จะไม่ได้เป็นสมาชิกก็ตาม
แถลงการณ์ระบุด้วยว่า จากการตรวจสอบคำร้องของอัยการที่ขอให้มีการสืบสวนเรื่องนี้ เห็นว่ามีหลักฐานเชื่อถือได้ว่าอาจเกิดการก่ออาชญากรรมรุนแรงต่อชาวมุสลิมในเมียนมาร์ ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ
คำตัดสินของศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศมีขึ้นหลังจากไม่กี่วันก่อน ประเทศแกมเบียซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ยื่นฟ้องเมียนมาร์ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) โดยกล่าวหาว่าเมียนมาร์ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ชาวมุสลิมโรฮิงจะ และทำให้คนเหล่านี้จำนวนหลายแสนคนต้องเดินทางออกจากถิ่นฐานเดิม
ศาลทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่ในกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ โดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ ระหว่างประเทศ ส่วนศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศจะทำหน้าที่ตัดสินผู้กระทำผิดทางอาญา เช่น การสังหารล้างเผ่าพันธุ์ หรือ การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เป็นต้น
เมื่อกว่า 2 ปีก่อน กองทัพเมียนมาร์ใช้มาตรการที่รุนแรงและกว้างขวาง เพื่อตอบโต้การที่กองกำลังติดอาวุธของชาวโรฮิงจะสังหารเจ้าหน้าที่ของทางการกว่า 10 คน
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปีพ.ศ. 2560 มีชาวมุสลิมโรฮิงจะกว่า 700,000 คนอพยพออกจากถิ่นที่อยู่เดิมของพวกเขา ข้ามพรมแดนมาอยู่ที่บังคลาเทศ หลายคนต่างเล่าถึงเรื่องที่ชาวโรฮิงจะถูกสังหารหมู่ ข่มขืนและถูกเผาบ้านเรือน
ก่อนหน้านี้ สหประชาชาติเคยระบุว่าความรุนแรงในเมียนมาร์เป็นกรณีตัวอย่างของการกวาดล้างทางชาติพันธุ์ และตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาตรวจสอบหาความจริง
เมื่อปีที่แล้ว สหประชาชาติกล่าวว่าตัวเลขชาวโรฮิงจะ 10,000 คนที่เสียชีวิตจากความรุนแรงน่าจะเป็นเพียงตัวเลขขั้นต่ำเท่านั้น