โอกาสความสำเร็จเลือนลาง หลังสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ ยืนกรานเงื่อนไขเจรจานิวเคลียร์

Your browser doesn’t support HTML5

North Korea Talk

ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะยังคงพยายามที่จะรักษาช่องทางการเจรจากับเกาหลีเหนือเพื่อยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์ แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่า โอกาสที่สหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จนั้นลดน้อยลงไปทุกวัน หลังจากที่เกาหลีเหนือปฏิเสธที่จะพบปะกับตัวแทนสหรัฐฯ แถมยังยั่วยุด้วยการทดสอบขีปณาวุธถึง 13 ครั้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่สหรัฐฯ ใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่จนถึงวันนี้ จุดยืนของทั้งสองประเทศยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ ได้

ในเดือนตุลาคม ผู้แทนของเกาหลีเหนือเดินออกจากโต๊ะเจรจาในการประชุมกับสหรัฐฯ ที่กรุงสต็อกโฮล์ม โดยอ้างว่ารับข้อเสนอของสหรัฐฯ ไม่ได้ หลังจากนั้น รัฐบาลกรุงเปียงยางก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าต้องการจะพบปะกับผู้แทนกรุงวอชิงตันอีก

สหรัฐฯ นั้นต้องการให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด ในขณะที่กรุงเปีียงยางต้องการให้กรุงวอชิงตันผ่อนผันมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและยุติการซ้อมรบกับเกาหลีใต้เสียก่อน

ในวันอังคารที่ผ่านมา รี แท ซอง (Ri Thae Song) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เพื่อเตือนให้สหรัฐฯ หาข้อเสนอใหม่ก่อนที่จะถึงเส้นตายปลายปี ที่เกาหลีเหนือกำหนดให้

รี แท ซองยังบอกด้วยว่าการกระทำของสหรัฐฯ จะเป็นตัวกำหนดว่ากรุงวอชิงตัน จะได้อะไรเป็นของขวัญวันคริสต์มาส ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นคำขู่ ว่าเกาหลีเหนืออาจจะทดสอบขีปนาวุธอีกครั้ง หลังจากการทดสอบครั้งล่าสุดใน วันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในวันจันทร์ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ขอให้เกาหลีเหนือ “หลีกเลี่ยง” การยั่วยุ และหันหน้าเข้าสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง

President Donald Trump speaks during the NATO summit at The Grove, in Watford, England. Dec. 4, 2019.

ในขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเข้าร่วมประชุมนาโต้ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้แสดงความเห็นถึงการยั่วยุรอบล่าสุดของเกาหลีเหนือว่า สหรัฐฯ มี “กองทัพที่ทรงพลังที่สุด” และถ้าจำเป็น สหรัฐฯ ก็จะใช้กองทัพในการแก้ปัญหา

เคน กอส (Ken Gause) ผู้อำนวยการ Adversary Analytics Program แห่งสถาบัน CNA มองว่า หากช่องทางการทูตไม่ได้ผล เป็นไปได้ว่า เกาหลีเหนือจะหันไปสร้างสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นกับจีนและรัสเซีย ซึ่งจะทำให้การปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลียากยิ่งขึ้น

โรเบิร์ต แมนนิ่ง (Robert Manning) นักวิจัยอาวุโสแห่ง Atlantic Council กล่าวว่า สหรัฐฯ อาจจะต้องปรับเป้าหมาย มุ่งไปที่การจำกัดไม่ให้เกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไปมากกว่านี้ หากเปียงยางไม่ยอมยุติโครงการอย่างสิ้นเชิง

แมนนิ่งกล่าวว่า ถึงจุดหนึ่ง สหรัฐฯ และประชาคมโลกอาจจะต้องหันมายอมรับว่าเกาหลีเหนือเป็นประเทศหนึ่งที่ครอบครองอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง แต่เขามองว่า สถานการณ์ยังไม่สุกงอมถึงจุดนั้น

บรูซ ไคลเนอร์ (Bruce Klingner) อดีตรองหัวหน้าแผนกเกาหลีแห่งสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ มองว่า สหรัฐฯ ควรจะยื่นข้อเสนอของตัวเอง นั่นคือ หากเกาหลีเหนือไม่ยอมกลับมาเจรจา สหรัฐฯ ก็จะไม่ยกเลิก หรือเลื่อนการซ้อมรบกับเกาหลีใต้ และจะบังคับใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่

FILE - In this June 30, 2019, file photo, U.S. President Donald Trump, right, meets with North Korean leader Kim Jong Un at the border village of Panmunjom in the Demilitarized Zone, South Korea.

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การเจรจาจะไม่คืบหน้า แต่นักวิเคราะห์มองว่าช่องทางการเจรจาก็ยังจะไม่ถูกปิดตายไปเสียทีเดียว หากผู้นำทั้งสองประเทศยังเห็นประโยชน์

แมนนิ่งมองว่า ทรัมป์ได้ “ทุ่มเทใจ” ไปมากกับเกาหลีเหนือ และการสานสัมพันธ์อย่างสนิทสนมกับผู้นำคิม จอง อึน การจะให้ทรัมป์ออกมายอมรับว่านโยบายเกาหลีเหนือของเขาล้มเหลว คงจะไม่น่าดูนัก โดยเฉพาะในปีหน้าที่เป็นปีแแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ตราบใดที่ “การเจรจา” หรือ “การพูดถึงการเจรจา” ยังคงดำเนินต่อไป ทรัมป์ก็จะสามารถอ้างได้ว่านโยบายของเขาได้ผล

ส่วนเคน กอสมองว่า กรุงเปียงยางเองก็อาจจะไม่ต้องการที่จะล้ำเส้น หรือปิดประตูการเจรจา เขาคาดว่าเกาหลีเหนือจะยังคงทดสอบขีปนาวุธระยะสั้น และระยะกลางต่อไป แต่เมื่อใดก็ตามที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป หรือ intercontinental ballistic missile (ICBM) ก็แสดงว่ารัฐบาลเปียงยางได้ข้อสรุปแล้วว่า การเจรจากับรัฐบาลของทรัมป์ ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป