Korean Central News Agency ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกรุงเปียงยาง ได้รายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ได้เดินทางไปควบคุมการทดสอบยิงปืนใหญ่ด้วยตัวเอง บนเกาะชางริน ที่อยู่บริเวณชายแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และได้สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมสำหรับการ “ซ้อมรบที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เสมือนอยู่ในสงครามจริง”
แต่แถลงการณ์ดังกล่าว ไม่ได้ระบุรายละเอียดชนิดของอาวุธที่ใช้ซ้อม หรือวันเวลาที่แน่นอนแต่อย่างใด เพียงแต่บอกว่าเป็นการซ้อมที่สร้างความ “ปีติยินดี” อย่างยิ่งให้กับผู้นำสูงสุดของประเทศ
จังหวะเวลาของการซ้อมยิงปืนใหญ่ของเกาหลีเหนือ เกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ยอมเลื่อนการร่วมซ้อมรบร่วมเพื่อการป้องกันน่านฟ้าออกไป เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีที่จะเอื้อต่อการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการยั่วยุท้าทาย ที่เกาหลีเหนือจะมีมาอีกเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มการกดดันสหรัฐ หลังจากที่การเจรจาของทั้งสองฝ่ายเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือไร้ความคืบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการพบปะระหว่างผู้นำประเทศ ทรัมป์ และคิม ในกรุงฮานอยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ หรือการเจรจาระดับคณะทำงาน ในเดือนตุลาคม ที่กรุงสต็อคโฮล์ม ที่จบลงด้วยการที่ตัวแทนของเกาหลีเหนือเดินออกจากโต๊ะเจรจา
เคน กอส (Ken Gause) ผู้อำนวยการโครงการ Adversary Analytics Program ที่สถาบัน CNA มองว่าในอนาคตข้างหน้า อาจจะได้เห็นเกาหลีเหนือกลับมาทดสอบขีปณาวุธอีกครั้ง เพราะรัฐบาลกรุงเปียงยางรู้สึกว่า พวกเขาอาจจะต้อง “ทำการใหญ่” เพื่อเรียกร้องความสนใจจากทรัมป์ ที่จิตใจจดจ่ออยู่กับกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดี ในกรุงวอชิงตัน
เดวิด แม็กซ์เวลล์ (David Maxwell) อดีตนายทหารกองกำลังพิเศษสหรัฐฯ และนักวิจัยที่ Foundation for Defense of Democracies มองว่า คิม จอง อึน อาจจะกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภายในประเทศ โดยเฉพาะจากผู้นำกองทัพและรัฐบาล เพราะคิมได้พบปะกับทรัมป์ถึง 3 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถทำให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจได้
ความกดดันทำให้คิมต้องเบี่ยงเบนให้คนในประเทศหันไปสนใจภัยคุกคามจากภายนอก และต้องทำให้สาธารณชนเชื่อว่า การคุกคามจากอเมริกาเป็นภัยอันตราย เพื่อให้ทุกคนเตรียมพร้อมเข้าสู่สงคราม
สัปดาห์ก่อน รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือบอกว่า เกาหลีเหนือไม่สนใจที่จะเจรจากับอเมริกาอีกต่อไป จนกว่า กรุงวอชิงตันจะยุติ “นโยบายที่ไม่เป็นมิตร” ต่อเกาหลีเหนือเสียก่อน
ถึงแม้จะไม่มีใครแน่ใจว่า “นโยบายที่ไม่เป็นมิตร” ที่ว่านั้นคืออะไร แต่ท่าทีของกรุงเปียงยางก่อนหน้านี้ พอจะแสดงให้เห็นว่า เกาหลีเหนือต้องการให้สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ยุติการซ้อมรบร่วมกันอย่างถาวร เพราะเห็นว่าเป็นภัยคุกคาม อีกทั้งยังต้องการให้อเมริกาถอนกองกำลังออกจากคาบสมุทรเกาหลี และยกเลิกมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อเรียกร้องที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่ล้มเหลวตลอดมา
นักวิเคราะห์มองว่า การซ้อมรบของเกาหลีเหนือบริเวณชายแดน ยังเป็นการกดดันรัฐบาลกรุงโซล พันธมิตรของกรุงวอชิงตันไปในตัว ทำให้กระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ต้องออกมาท้วงติงว่าเกาหลีเหนือละเมิดข้อตกลงทางการทหาร ที่ทั้งสองชาติทำไว้เมื่อปีก่อน
เกาะชางริน ซึ่งเป็นสถานที่ซ้อมยิงปืนใหญ่ครั้งนี้ เคยถูกใช้เป็นฐานที่กรุงเปียงยางใช้เปิดฉากระดมยิงโจมตีเกาะยองเพียง (Yeongpyeong Island) ของเกาหลีใต้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน ในปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกาหลีเหนือถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โจมตีเรือรบของเกาหลีใต้ด้วยจรวดตอร์ปิโด ทำให้ทหารเรือเกาหลีใต้เสียชีวิต 46 นาย