นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มหาธีร์ โมฮัมหมัด ซึ่งกลับเข้ารับตำแหน่งอีกครั้งหลังห่างหายไป 15 ปี กล่าวกับ Voice of America ว่า ภารกิจของผู้นำมาเลเซียเมื่อตนเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้วนั้น "ง่าย" กว่างานที่ตนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะหนี้ภาครัฐที่มาพร้อมกับชื่อเสียงที่ไม่ดีของมาเลเซียเกี่ยวกับปัญหาคอรัปชั่น
มหาธีร์ กลับขึ้นสู่อำนาจเมื่อวันที่ 9 พ.ค. หลังมีชัยเหนือพรรคพันธมิตรของอดีตนายกฯ นาจิ๊บ ราซัค ซึ่งมีข่าวพัวพันเรื่องการฉ้อโกงเงินหลายพันล้านดอลลาร์ผ่านกองทุน 1MDB ที่กลายเป็นเหตุการณ์คอรัปชั่นครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย
นายกฯ มหาธีร์ วัย 92 ปี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ VOA ว่า
"ในช่วง 20 ปีแรกที่เข้ารับตำแหน่งนายกฯ นั้นค่อนข้างง่าย เพราะตนได้รับสืบทอดระบบการทำงานที่มีอยู่แล้วในขณะนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือแนะนำแนวคิดและนโยบายใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตและพัฒนามาเลเซีย"
"แต่การรับตำแหน่งครั้งล่าสุดนี้ ตนต้องรับมือกับปัญหาที่บ่อนทำลายประเทศในหลายด้าน การเงินมาเลเซียถูกทำลาย ระบบการบริหารจัดการของรัฐบาลถูกละเลย และมีการนำระบบอำนาจนิยมมาใช้แทน"
อดีตนายกฯ ราจิ๊บ ขึ้นดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 และถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ จากกองทุน 1MDB ที่นายราจิ๊บเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเอง
ในสัปดาห์นี้ ตำรวจมาเลเซียได้บุกค้นบ้านพักของนายราจิ๊บ และยึดของกลางเป็นอัญมณี เงินสด และกระเป๋าถือราคาแพงหลายร้อยใบ
โดยนายราจิ๊บ ราซัค ได้ขึ้นให้การต่อคณะกรรมการต่อต้านคอรัปชั่นของมาเลเซียเป็นเวลาหลายชั่วโมงในสัปดาห์นี้
นายกฯ มหาธีร์ กล่าวว่า "รัฐบาลชุดก่อนได้กู้หนี้ยืมสินจากต่างชาติเป็นมูลค่ามหาศาล ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการชดใช้หนี้ หรืออย่างน้อยก็ลดเงินต้นลงให้ได้"
ผู้นำคนปัจจุบันของมาเลเซียยังระบุถึงความต้องการของตนในการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลจีน เกี่ยวกับสัญญาก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลของนายราจิ๊บได้ลงนามไว้กับจีน ซึ่งรวมถึงการกู้ยืมเงินลงทุนมูลค่ามหาศาลจากรัฐบาลปักกิ่งด้วย
นายกฯ มหาธีร์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าจะสามารถต่อรองในเรื่องนี้กับจีนได้ โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ