Your browser doesn’t support HTML5
ผลการลงคะแนนเบื้องต้นของการเลือกตั้งรอบแรกในฝรั่งเศส ระบุว่า "นายเอ็มมานูเอล มาคร็อง" ตัวแทนพรรคการเมืองสายกลาง และ"มารีน เลอ เปง" นักการเมืองสตรีฝ่ายชาตินิยมขวาจัด จะเป็นสองคนที่เข้าไปชิงชัยในการลงคะแนนวันที่ 7 พฤษภาคม
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเลือกตั้งอีกสองสัปดาห์จากนี้จะเป็นการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่คาดเดายากที่สุดครั้งหนึ่ง ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
และครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ของฝรั่งเศส ที่อาจจะได้ประธานาธิบดีซึ่งไม่ได้มาจากพรรคการเมืองหลักตามประเพณีการเมือง
ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงการต่อต้านอำนาจเก่าทางการเมืองของประชาชน
บรรยากาศเช่นนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจว่าฝรั่งเศสจะยังเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป หรือแยกตัวออกมาเช่นเดียวกับอังกฤษ
ผลการเลือกตั้งขั้นต้นในวันอาทิตย์ ชี้ว่านายมาคร็องได้คะแนนเสียง 23.8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมารีน เลอ เปง ได้เสียงร้อยละ 21.7
นายมาคร็องวัย 39 ปี กล่าวในคำปราศรัยหลังได้คะแนนชนะคู่แข่งว่า “ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงการเมืองฝรั่งเศสครั้งใหญ่”
แนวทางการเมืองของเขาอยู่ในสายกลางกึ่งเอียงซ้าย ซึ่งนิยมการเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป และสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเขาเคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจมาก่อนหน้านี้
ถือได้ว่าเขาได้ปรับแนวทางจากเดิมที่เคยร่วมงานกับประธานาธิบดี ฟร็องซัวร์ โอลองด์ จากพรรคสังคมนิยม ซึ่งถูกปฏิเสธโดยประชนจำนวนมาก
ความท้าทายของนักการเมืองหนุ่มผู้นี้ เป็นเรื่องของการกระตุ้นแรงสนับสนุนจากฝ่ายซ้ายและผู้ฝักใฝ่สายกลาง แต่ก็ต้องโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ไม่ได้ถูกสะท้อนในนโยบายของประธานาธิบดีโอลองด์
ส่วนคู่แข่งของเขา "มารีน เลอ เปง" วัย 48 ปีจากพรรค National Front Party ได้เสียงสนับสนุนที่เข้มแข็งจากเขตอุตสาหกรรม ที่มีคนตกงานจำนวนมาก
เธอต้องการแยกฝรั่งเศสออกจากสหภาพยุโรป และสามรถดึงคะแนนเสียงจำนวนมากจากประชาชนที่เคยสนับสนุนพรรคฝ่ายซ้ายและพรรคสายกลาง
ผู้สมัครผู้นี้กล่าววันอาทิตย์ว่า "ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการปลดแอกชาวฝรั่งเศส"
ปัจจัยเรื่องคนว่างงานในฝรั่งเศสที่สูงถึงร้อยละ 10 และความกังวลเรื่องการก่อการร้ายโดยกลุ่มรัฐอิสลามไอเอส มีผลอย่างมากต่อการสนับสนุนนักการเมืองแนวทางสุดโต่ง
ปัจจุบันความนิยมในตัวประธานาธิบดีฟร็องซัว โอลองด์ ตกต่ำอยู่ในระดับร้อยละ 4 เท่านั้น หลังประชาชนผิดหวังเรื่องการจัดการปัญหาเศรษฐกิจและภัยก่อการร้าย
จนทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ของฝรั่งเศสที่ไม่ขอลงเลือกตั้งเป็นผู้นำอีกครั้งหนึ่ง
(รายงานโดย Luis Ramirez / รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียง )