อย. สหรัฐฯ เตรียมพิจารณาอนุมัติวัคซีนไฟเซอร์ ให้เด็กอายุ 5-11 ปี

FILE - Bridgette Melo, 5, holds the hand of her father, Jim Melo, during her inoculation of one of two reduced 10 ug doses of the Pfizer BioNtech COVID-19 vaccine during a trial at Duke University in Durham, North Carolina, September 28, 2021, in a still

คณะกรรมการที่ปรึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA เตรียมพิจารณาอนุมัติการใช้วัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค (Pfizer-BioNTech) ให้กับเด็กอายุ 5-11 ปี

หากทาง FDA การอนุมัติการใช้วัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค ให้กับเด็กอายุ 5-11 ปี จะเป็นก้าวที่สำคัญในการให้เด็กราว 28 ล้านคนในสหรัฐฯ เข้าถึงวัคซีนโควิดได้ จากที่เด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เริ่มกลับเข้าไปเรียนในสถานศึกษากันแล้ว ขณะที่ทางทำเนียบขาว ยืนยันว่า มีปริมาณวัคซีนเพียงพอกับเด็กกลุ่มนี้

แม้ปัจจุบันจะมีเด็กเล็กที่ป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโควิด-19 ในสัดส่วนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนวัยผู้ใหญ่ แต่หัวหน้าฝ่ายวัคซีนของ FDA นพ. ปีเตอร์ มาร์กส กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาของ FDA ในวันอังคาร (26 ตุลาคม) ว่า โควิด-19 เป็น 1 ใน 10 สาเหตุการเสียชีวิตของเด็กในสหรัฐฯ

โดยตอนนี้มีเด็กราว 1.9 ล้านคน ในช่วงอายุ 5-11 ปี พบติดเชื้อโควิด-19 ราว 8,300 รายต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่สหรัฐฯ และเกือบ 100 คนเสียชีวิตเพราะโควิด-19 อีกทั้งการระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการศึกษาและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเด็กกลุ่มนี้ด้วย

อีกด้านหนึ่ง ทางคณะกรรมการที่ปรึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ หรือ CDC มีวาระการหารือเพื่อพิจารณาแผนอนุมัติการฉีดวัคซีนในเด็กกลุ่มนี้ช่วงสัปดาห์หน้าเช่นกัน

โมเดอร์นา เผยวัคซีนโควิด-19 ปลอดภัยและได้ผลกับเด็กอายุ 6-11 ปี

บริษัทโมเดอร์นา เผยผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 กับเด็กอาสาสมัครกว่า 4,700 คน โดยให้วัคซีนโควิดชนิด 2 โดส แต่ใช้ปริมาณวัคซีนเพียงครึ่งโดสของผู้ใหญ่ และทิ้งระยะห่างกันระหว่างโดสเป็นเวลา 28 วัน พบว่า วัคซีนสามารถกระตุ้นระดับแอนติบอดีของเด็ก ให้สูงเท่ากับระดับของผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนครบโดส

ส่วนเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิด-19 ต่อเด็กกลุ่มนี้ พบว่า มีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาการเหนื่อยล้า ปวดศีรษะ มีไข้ และอาการปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ ทางโมเดอร์นา เตรียมส่งรายงานผลการทดสอบดังกล่าวให้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA และหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาทั่วโลก เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาการอนุมัติการใช้วัคซีนเพื่อการฉุกเฉินต่อไป

(เนื้อหาบางส่วนจากเอพีและรอยเตอร์)