ความขัดแย้งเรื่องมาตรการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในสหรัฐฯ เริ่มยกระดับขึ้น หลังรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตรียมออกกฎที่เข้มงวดเพื่อบังคับให้มีการฉีดยามากขึ้น โดยคำสั่งดังกล่าวจะมีผลต่อแรงงานหลายสิบล้านคนในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้หลายภาคส่วนได้ออกมาแสดงความไม่พอใจและยืนกรานที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง พร้อมเดินเรื่องฟ้องรัฐบาลต่อศาล
ตามรายงานของสำนักข่าววีโอเอ ขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเตรียมที่จะออกคำสั่งบังคับให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่อาจมีผลภายในสิ้นปีนี้ และจะส่งผลให้ธุรกิจที่มีการจ้างพนักงานมากกว่า 100 คนขึ้นไปต้องออกกฎให้พนักงานในบริษัทฉีดวัคซีนหรือตรวจหาการติดเชื้อโควิดเป็นประจำ โดยมาตรการนี้ที่จะมีผลครอบคลุมแรงงานราว 80 ล้านคนได้สร้างความขัดแย้งมากขึ้นในสหรัฐฯ เนื่องจากประชากรบางส่วนยังยืนกรานที่ไม่จะฉีดวัคซีน
แม้ประชากรในสหรัฐฯกว่า 177 ล้านคนหรือ 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแล้ว บริษัทและหน่วยงานรัฐต่างๆ รวมทั้ง กองกำลังทหารเรือสหรัฐฯ กลับต้องเริ่มทยอยปลดเจ้าหน้าที่ที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนออกในเวลานี้
เจ้าหน้าที่ในกองทัพสหรัฐฯ บางส่วนที่กำลังจะถูกปลดได้ออกมาระบุเหตุผลว่า กฎบังคับฉีดวัคซีนนั้นขัดต่อสิทธิเสรีภาพทางร่างกายของพวกเขา พร้อมยังระบุชื่อ ประวัติการทำงาน และสถานที่ประจำการผ่านการลงคลิปวีดีโอทางสื่อสังคมออนไลน์เพื่อแสดงจุดยืนด้วย
ขณะเดียวกัน มีเจ้าหน้ารัฐจำนวน 10 คน ซึ่งรวมถึง ทหารอากาศและเจ้าหน้าจากหน่วยงานสืบราชการลับเลือกที่จะต่อต้านมาตรการดังกล่าวผ่านการฟ้องร้องทางกฎหมาย โดยพวกเขาได้ยื่นเรื่องต่อศาลในรัฐวอชิงตันและระบุว่ากฎการฉีดวัคซีนนั้นขัดต่อสิทธิเสรีภาพทางศาสนาตามภายใต้รัฐธรรมมนูญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องทางกฎหมายของมาตรการเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพิจารณาจากอัยการทั้งหมดของศาลสูงสุดของสหรัฐฯ แต่อัยการที่มีหัวเสรีนิยมอย่าง สตีเฟน เบรย์เยอร์ และอัยการที่มีหัวด้านอนุรักษ์นิยม อย่าง เอมี่ โคนีย์ แบร์เรตต์ ได้เคยยกฟ้องคดีที่โจกก์ต่อต้านการมาตรการการฉีดวัคซีนแล้ว โดยคดีเป็นคำร้องของนักศึกษาจาก Indiana University ที่ไม่ต้องการฉีดวัคซีนเพื่อจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ส่วนอีกคดีนั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลกรทางการแพทย์ในรัฐเมนที่ไม่ต้องการรับวัคซีน
ทางภาคเอกชนอย่างเช่น ร้านอาหารฟาสฟู้ด In-N-Out ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ถูกปิดลงชั่วคราวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น San Francisco Chronicle หลังจากที่หน่วยงานสาธารณสุขของรัฐตรวจพบว่า ร้านสาขา Fisherman’s Wharf ของร้านฟาสฟู้ดแห่งนี้ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎที่บังคับให้ร้านตรวจอุณหภูมิของลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารภายในร้าน
ทั้งนี้ ร้านอาหารสาขาข้างต้นได้กลับมาเปิดแล้ว แต่เป็นให้บริการแบบสั่งกลับบ้าน (take-out) เท่านั้น โดยทางบริษัทได้ยอมรับว่าทำการละเมิดกฎจริง แต่ ผู้บริหารระดับสูงของ In-N-Out ได้ออกมาวิจารณ์กฎดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจของประชาชน
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ออกมาอธิบายว่า การบังคับใช้มาตราการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดนั้นจะช่วยลดจำนวนคนที่ไม่ยอมฉีดได้ พร้อมทั้งช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลและจำนวนผู้เสียชีวิต ทั้งยังจะทำใหธุรกิจต่างๆ สามารถเปิดทำการต่อไปได้ด้วย ดังนั้น รัฐบาลจะช่วยปกป้องประชากรและพนักงานที่ฉีดวัคซีนแล้วจากกลุ่มคนที่ไม่ฉีด
ทำเนียบขาวหวังว่ามาตรการนี้จะช่วยส่งผลให้คน 65 ล้านรายที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนต้านโควิดที่อยู่ในภาคเเรงงานอเมริกัน เปลี่ยนใจมาฉีดวัคซีนมากขึ้น
แต่ธุรกิจหลายแห่งและผู้ที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนได้พยายามขอเข้าประชุมกับเจ้าหน้าที่ที่ทำเนียบขาวเรื่องกฎฉีดวัคซีนใหม่
โดยผู้ว่าการรัฐหัวอนุรักษ์นิยม นายเกร็ก แอ็บบอท จากรัฐเท็กซัส และ นายรอน เดอซานติส จากรัฐฟลอริดา ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า จะเป็นผู้ที่ลงสนามชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 เป็นนักการเมืองแนวหน้าที่ออกมาต่อต้านมาตรการดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ แต่ร้องขอให้ประชาชนในรัฐของตนยินยอมเข้ารับการฉีดวัคซีนด้วยตนเองอยู่เนืองๆ
นักการเมืองคู่นี้เห็นพ้องกันว่า การรับวัคซีนไม่ควรเป็นข้อบังคบจากรัฐ พวกเขาจึงสนับสนุนให้ประชาชนในรัฐของพวกเขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเลือกที่จะฉีดวัคซีนป้องกันโควิดหรือไม่