อัตราการเกิดอาชญากรรมจากความเกลียดชังในอเมริกาเมื่อปี 2018 ปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี แต่กลับมีคดีรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตามการเปิดเผยของสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ FBI เมื่อวันอังคาร
รายงานจาก FBI ระบุว่า หน่วยบังคับใช้กฏหมายในอเมริกา รายงานคดีอาชญากรรมจากความเกลียดชังเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 7,120 คดี ลดลงจากปี ค.ศ. 2017 ซึ่งมีคดีลักษณะนี้อยู่ที่ 7,175 คดี แต่มีคดีฆาตรกรรมซึ่งมีมูลเหตุจากความเกลียดชังถึง 24 คดี ซึ่งมากที่สุดเท่าที่มีการเก็บข้อมูลมา
ในรายงานล่าสุด พบว่า คดีที่มีเป้าหมายเป็นกลุ่มละตินอเมริกันพุ่งสูงถึง 60% และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จาก 427 คดีเป็น 485 คดีในปีก่อน จากกระแสต่อต้านผู้อพยพที่คุกรุ่นในปัจจุบัน ขณะที่คดีอาชญากรรมกับกลุ่มชาวมุสลิมในอเมริกาลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก 273 เมื่อปี ค.ศ. 2017 เหลือ 188 คดีในปี ค.ศ. 2018 เช่นเดียวกับคดีอาชญากรรมที่มีเป้าหมายเป็นคนผิวสี, ชาวยิว และผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศลดลงทั้งหมดในปี ค.ศ. 2018
อาชญากรรมจากความเกลียดชัง หรือ Hate Crime ในมุมมองของ FBI คือการก่อคดีอาชญากรรมที่มีแรงจูงใจจากความมีอคติต่อเชื้อชาติ, ชาติพันธุ์, ศาสนา, ความบกพร่องทางร่างกาย, เพศสภาพ อย่างไรก็ตาม การเก็บข้อมูลของ FBI เป็นแบบสมัครใจ ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ พบว่า ชาวอเมริกันต้องเผชิญกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังราว 250,000 คดีทุกปี แต่ส่วนใหญ่เหยื่อไม่กล้าเปิดเผยหรือแจ้งความกับทางการอย่างที่ควรจะเป็น