Your browser doesn’t support HTML5
ตัวเลขการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนมากขึ้นในปีที่มีการเลือกตั้ง ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน
ในส่วนของภาคธุรกิจ รายงานวิจัยที่จัดทำโดยศาสตราจารย์ Art Durnev จากมหาวิทยาลัยรัฐไอโอว่า ระบุว่าผู้บริหารบริษัทต่างๆ ยังคงชะลอการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ เช่น การเสนอขายหุ้น การลงทุนใหญ่ๆ และการจ้างงาน สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
สำหรับผู้บริโภค รายงานของบริษัทสำรวจ Macroeconomics Advisers ชี้ว่าคนอเมริกันพากันชะลอการซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ หรือชะลอการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ เพื่อรอดูทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงสรุปไม่ได้ว่า ความผันผวนทางการเมืองนั้นมีผลกระทบต่อต้นทุนด้านพลังงาน อัตราดอกเบี้ย หรือการคาดการณ์ความต้องการสินค้าของบริษัทต่างๆ มากน้อยแค่ไหน อย่างไร
ผู้สมัครทั้งสองคน คือนางฮิลลารี คลินตั้น จากพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน มีนโยบายเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะนโยบายด้านภาษี
อย่างไรก็ตาม WSJ รายงานผลการวิจัยของนักวิเคราะห์แห่งศูนย์ Tax Policy Center ในกรุงวอชิงตัน ที่ระบุว่าข้อเสนอนโยบายลดภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น แต่จะเกิดผลเสียตามมาในระยะยาว
รายงานระบุว่า นโยบายลดภาษีของทรัมป์ จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหนี้เพิ่มขึ้น และจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจในระยะยาว นอกเสียจากว่าทรัมป์จะเสนอให้ลดงบประมาณค่าใช้จ่ายของรัฐบาลลงมากกว่าที่เขาได้เสนอไว้
รายงานชิ้นนี้บอกด้วยว่า ในทางกลับกัน นโยบายเศรษฐกิจของนางฮิลลารี คลินตั้น ซึ่งรวมถึงขยายการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคทั่วประเทศ จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงในระยะสั้น แต่จะเป็นผลดีในระยะยาว
รายงานระบุตัวเลขว่า ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของนางคลินตั้น เศรษฐกิจอเมริกาจะชะลอตัวลง 0.19% ในปี ค.ศ. 2018 แต่จะเพิ่มขึ้น 0.4% ภายในปี 2027 ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ จะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาขยายตัว 1.12% ในปี 2018 แต่ลดลง 0.43% ภายใน 10 ปีข้างหน้า