เดโมแครต เปิดตัวนโยบาย ‘ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี’ เพื่อสนับสนุนแผนงานรัฐบาลไบเดน

Sen. Ron Wyden, D-Ore., speaks to reporters following a Democratic strategy meeting at the Capitol in Washington.

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


สมาชิกรัฐสภาอาวุโสสังกัดพรรคเดโมแครต นำเสนอแผนนโยบายจัดเก็บภาษีจากผู้มีฐานะร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีในสหรัฐฯ เพื่อหวังนำรายได้มาช่วยสนับสนุนร่างกฎหมายพัฒนาสังคมและแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงของประธานาธิบดี โจ ไบเดน

นโยบายที่ รอน ไวเดน ประธานกรรมาธิการด้านการเงินวุฒิสภาสหรัฐฯ นำเสนอออกมานี้ มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี” และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านนิติบัญญัติแบบคู่ขนาน ที่รวมถึง ข้อเสนอการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำที่อัตรา 15% สำหรับบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทำกำไรได้เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งเปิดตัวออกมาเมื่อวันอังคารนี้เอง

ส.ว.ไวเดน และสมาชิกวุฒิสภารายอื่นๆ ที่รวมถึง ส.ว.อลิซาเบธ วอร์เรน กล่าวว่า ข้อเสนอกฎหมายภาษีทั้งสองนี้ มีจุดประสงค์จะมาช่วยอุดช่องว่างการหลบเลี่ยงภาษีของภาคธุรกิจและผู้มีฐานะร่ำรวยทั้งหลาย ทั้งยังจะช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เป็นมูลค่านับแสนล้านดอลลาร์ ที่จะมาสนับสนุนกฎหมาย “Build Back Better” ของ ปธน.ไบเดน ซึ่งมีการประเมินว่าจะต้องใช้เงินราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ทั้งนี้ ทำเนียบขาวแสดงจุดยืนสนับสนุนการตั้งอัตราขั้นต่ำภาษีนิติบุคคล ที่จะนำมาใช้งานประกบแผนจัดเก็บภาษีนิติบุคคลทั่วโลก ที่รัฐบาลจาก 136 ประเทศเพิ่งตกลงรับมาดำเนินการเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งตั้งเป้าไปที่บรรดาธุรกิจข้ามชาติต่างๆ ที่ไม่ได้จ่ายภาษี หรือจ่ายภาษีเพียงน้อยนิดด้วยการอาศัยช่องโหว่ของระบบภาษีสากล

อย่างไรก็ตาม “ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี” น่าจะได้รับการคัดค้านจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครต ที่ต้องการเห็นการปรับขึ้นภาษีแบบตรงไปตรงมา สำหรับทั้งภาคธุรกิจและผู้มีฐานะร่ำรวย เพื่อนำรายได้มาสนับสนุนวาระนโยบายของปธน.ไบเดน มากกว่า

เนื้อหาของข้อเสนอ “ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี” นี้ ระบุว่า จะมีการนำมาบังคับใช้ในปีภาษี 2022 และจะมีผลต่อผู้เสียภาษีราว 700 คนที่มีมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือ มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์ เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน

นอกจากนั้น ยังมีแผนจัดเก็บภาษีที่อัตรา 23.8% สำหรับกำไรส่วนต่างระยะยาว (long-term capital gain) ที่อาจได้จากการขายสินทรัพย์ที่ซื้อขายได้ เช่น หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ไม่ว่าจะมีการขายออกไปหรือไม่ก็ตาม ขณะเดียวกัน จะอนุญาตให้ใช้ตัวเลขขาดทุนส่วนต่างมาใช้หักภาษีได้ด้วย

คำแถลงเกี่ยวกับข้อเสนอกฎหมายนี้ระบุด้วยว่า จะมีการเรียกเก็บภาษีจากสัดส่วนความเป็นเจ้าของธุรกิจที่ที่อภิมหาเศรษฐีถือครองผ่านนิติบุคคลหรือทรัสต์ต่างๆ เช่น ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust – REIT) เป็นต้น