สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าการทำงานอย่างอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็น "อุปสรรค" ต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
รอยเตอร์เรียกท่าทีของบุตรสาวอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ครั้งนี้ว่า เป็นการ "ระดมยิงครั้งล่าสุด ในความขัดเเย้งที่กำลังดำเนินอยู่เรื่องอัตราดอกเบี้ย"
ก่อนหน้านี้ ในปีที่เเล้ว นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินไม่เห็นด้วยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมทำตามเเรงกดดันของเขาให้มีการลดดอกเบี้ย
“ตอนนี้กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญมาก ๆ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ" แพทองธารกล่าว
นายกฯ เศรษฐาให้เหตุผลว่าอัตราดอกเบี้ยที่ 2.50% ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี สร้างผลร้ายต่อธุรกิจขนาดเล็ก และบั่นทอนความพยายามของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเขากล่าวว่ากำลังอยู่ในวิกฤต
อย่างไรก็ตามผู้นำไทยยืนยันว่าเขาเคารพความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย
แพทองธาร กล่าวว่าถ้านโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย "ไม่ยอมเข้าใจและไม่ยอมให้ความร่วมมือ" ความพยายามลดระดับหนี้ที่สูงจะมีอุปสรรค
รอยเตอร์ติดต่อไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อขอความเห็นต่อคำแถลงของแพทองธาร แต่แบงก์ชาติของไทยปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า แบงก์ชาติจะไม่ยอมต่อแรงกดดัน และบอกกับช่อง CNBC ว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเหมาะสมแล้ว
เขาเสริมว่า ในกรณีที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจากการลดดอกเบี้ย ผลดีในช่วงสั้น ๆ จะไม่คุ้มกับผลเสียในระยะยาว
รอยเตอร์ระบุว่าการแสดงความเห็นของเเพทองธารมีนำ้หนักในประเทศไทย โดยบิดาของเธอ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ เคยกุมอำนาจการเมืองอย่างโดดเด่น จากผลการเลือกตั้งที่พรรคซึ่งเขาเป็นผู้นำทั้งทางตรงและเชิงสัญลักษณ์ ชนะหลายครั้งที่ผ่านมาในช่วง 2 ทศวรรษ จะแพ้ก็เพียงครั้งเดียว
ในการบริหารประเทศสมัยเเรกของทักษิณ เขาเคยปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากตำแหน่ง เนื่องจากความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องนโยบายการเงิน
รอยเตอร์ระบุว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ยังคงเป็นผู้ทรงอิทธิพลในประเทศไทย และเป็นข่าวใหญ่เมื่อเขาเดินทางกลับไทยเมื่อเดือนสิงหาคม หลังจากใช้ชีวิตนอกประเทศเพื่อไม่รับโทษคุมขังจากคดีผลประโยชน์ทับซ้อนและใช้อำนาจในทางที่ผิด เขาถูกปล่อยตัวในเดือนกุมภาพันธ์ในการได้พักโทษ หลังจากถูกกักสถานที่เป็นเวลา 6 เดือนและเขากล่าวว่าตนได้วางมือทางการเมืองไปแล้ว
- ที่มา: รอยเตอร์