Your browser doesn’t support HTML5
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคง นาย Bill Roggio บรรณาธิการของวารสาร Long War Journal ที่สถาบัน Foundation for the Defense of Democracies ในกรุงวอชิงตัน ให้ความเห็นเกี่ยวกับการยิงจรวดขีปนาวุธ Tomahawk ของกองทัพสหรัฐฯ รวม 59 ลูก เพื่อโจมตีสนามบินทหารของซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวมีขึ้นเพื่อตอบโต้การที่ประธานาธิบดี บะชาร์ อัล-อัซซาด ของซีเรีย ใช้อาวุธสารเคมีกับประชาชนของตน
นาย Bill Roggio กล่าวว่า "ผลสำเร็จของมาตรการดังกล่าวมักมีจำกัดและจะส่งผลทางยุทธวิธีต่อเป้าหมายทางทหารเฉพาะจุดเท่านั้น"
นักวิเคราะห์ชี้ด้วยว่า สำหรับกรณีการโจมตีด้วยจรวด Tomahawk ต่อซีเรียหรือที่เรียกว่า "Surgical Strike" เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น เป็นการส่งสัญญาณแจ้งเตือนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงซีเรีย เกี่ยวกับการขีดเส้นห้าม หรือ "Red Line" เรื่องการใช้อาวุธสารเคมี
อย่างไรก็ตาม เส้นห้ามในลักษณะนี้เคยถูกขีดขึ้นมาแล้วสมัยประธานาธิบดีโอบามา แต่ก็ถูกยกเลิกไปหลังจากที่รัฐบาลซีเรียยอมตกลงยกเลิกคลังแสงอาวุธเคมีของตน ภายใต้ข้อตกลงเมื่อปี ค.ศ. 2013 ซึ่งรัสเซียช่วยเจรจาทำความตกลง
ที่ผ่านมา รัฐบาลชุดก่อนๆ ของสหรัฐฯ ได้เคยใช้การโจมตีแบบ "Surgical Strike" นี้ เพื่อกดดันบางประเทศเช่นกัน
เช่น ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน สั่งให้เครื่องบินรบของสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดทำลายเป้าหมายในลิเบีย เพื่อตอบโต้การที่ผู้ก่อการร้ายของลิเบียโจมตีดิสโก้เทคแห่งหนึ่งในนครเบอร์ลิน
แต่การโจมตีดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นผลให้ประธานาธิบดีกัดดาฟีต้องพ้นจากอำนาจไป
ส่วนประธานาธิบดี บิล คลินตัน ก็เคยสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศเพื่อลงโทษประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซ็น จากการที่อิรักวางแผนลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี จอร์จ เฮช ดับบลิว บุช
แต่ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็นก็ยังสามารถครองอำนาจต่อไปได้เช่นกัน
คุณ Blaise Misztal ผู้อำนวยการของโครงการศึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ศูนย์ Bipartisan Policy Center ในกรุงวอชิงตัน ชี้ว่า การโจมตีแบบ Surgical Strike มักไม่ส่งผลถึงการเปลี่ยนผู้นำหรือรัฐบาล
แต่ก็อาจทำให้พฤติกรรมของผู้นำหรือรัฐบาลดังกล่าวที่มีต่อภายนอกเปลี่ยนไปได้!