ในขณะที่หลายประเทศกำลังต่อสู้กับช่วงที่ร้ายแรงที่สุดของการระบาดของโคโรนาไวรัสอยู่นั้น กลับมีรายงานว่าประเทศญี่ปุ่นแทบจะไม่มีการติดโควิด-19 เลย ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเป็นเพราะอะไร
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศยังรุนแรงอยู่ มีชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตวันละหลายสิบคน และมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจำนวนมากในโรงพยาบาล
แต่เมื่อญี่ปุ่นได้เร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยอดการรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ได้ลดลงอย่างฮวบฮาบ เช่นเดียวกับยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19
หลังจากนั้นมา สถานการณ์ในญี่ปุ่นกลับดีขึ้น ในเดือนนี้ ยอดผู้เสียชีวิตโดยเฉลี่ยของญี่ปุ่นอยู่ต่ำกว่า 1 คนต่อวัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำจนน่าทึ่ง เมื่อพิจารณาว่าดินแดนอาทิตย์อุทัยมีประชากรถึง 126 ล้านคน
ไม่มีใครทราบได้ว่าญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ต้องเผชิญกับการระบาดหนักระลอกใหม่ในช่วงฤดูหนาวนี้
ได้มีการพยายามหาคำอธิบายที่เป็นไปได้หลายอย่าง บ้างก็มองว่า ประชากรของญี่ปุ่นเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และแทบทุกคนสวมหน้ากากอนามัย ถึงแม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา แต่ผู้คนก็ยังคงรักษาระยะห่างทางสังคม
นักวิจัยบางคนมองว่า เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราโรคอ้วนที่ต่ำ ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นเมื่อเร็ว.ๆ นี้ สรุปว่าอาการโควิด-19 จะรุนแรงมากกว่าในกลุ่มคนอ้วน
วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอาจจะมีส่วนเช่นกัน เคนทาโร อิวาตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อแห่งมหาวิทยาลัยโกเบ ยกตัวอย่างว่า ชาวญี่ปุ่นจะไม่ทักทายโดยการจูบ กอด หรือการจับมือ ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังถือว่าค่อนข้างจะเป็นคนที่เงียบหรือรักษาความเงียบในที่สาธารณะ
อิวาตะมองว่า การสวมหน้ากากอนามัยและการไม่ส่งเสียงดังในที่สาธารณะเป็นสิ่งสำคัญมากในการต่อสู้กับไวรัส แต่ถึงแม้ทุกคนจะรับทราบ การนำไปปฏิบัติจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายในบางประเทศ เพราะวัฒนธรรมของท้องถิ่นไม่เอื้อให้ปฏิบัติเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมประเทศใกล้เคียงอย่างเกลาหลีใต้ ซึ่งมีความใกล้เคียงทางวัฒนธรรม จึงยังต้องต่อสู้กับการระบาดระลอกใหม่ที่เลวร้ายที่สุดของประเทศ
เคนจิ ชิบูยา นักระบาดวิทยาและนักวิจัยแห่งมูลนิธิ Tokyo Foundation for Policy Research กล่าวว่า เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะญี่ปุ่นมีการตรวจหาเชื้อน้อยกว่าเกาหลีใต้มาก จึงยากที่จะเชื่อว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการนั้นสะท้อนให้เห็นสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นจริง
ในครึ่งแรกของเดือนธันวาคม ญี่ปุ่นตรวจหาเชื้อประชาชนโดยเฉลี่ยเพียง 44,623 คนต่อวัน ในขณะที่เกาหลีใต้ ซึ่งมีประชากรไม่ถึงครึ่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตรวจหาเชื้อโดยเฉลี่ยมากถึง 238,901 คนต่อวัน ตามข้อมูลของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นมองว่า หากการไม่ตรวจหาเชื้อเป็นสาเหตุหลัก ญี่ปุ่นก็น่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของดัชนีชี้วัดตัวอื่น ๆ เช่น ยอดผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลและยอดการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจน่าจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ยอดดังกล่าวก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน นักวิจัยบางคนพยายามมองหาปัจจัยอื่นมาสนับสนุน งานวิจัยชิ้นหนึ่งกล่าวว่าคนญี่ปุ่นมีลักษณะทางกรรมพันธุ์ที่สัมพันธุ์กับเม็ดเลือดขาวที่ช่วยต่อสู้กับโควิด-19 บ้างก็มีทฤษฎีว่าโคโรนาไวรัสที่ระบาดในญี่ปุ่นนั้นอาจจะกลายพันธุ์ไปจนสูญพันธุ์ไป
ไม่ว่าอะไรจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 เคนจิ ชิบูยา กล่าวกับวีโอเอว่า เขาคาดว่าญี่ปุ่นจะต้องรับมือกับการระบาดในช่วงฤดูหนาวนี้แน่นอน
ในสัปดาห์นี้เอง ญี่ปุ่นได้ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนคนแรก ๆ ของประเทศแล้ว ซึ่งเป็นการแพร่เชื้อภายในชุมชน หลายคนที่ติดเชื้อดังกล่าวพบว่าไม่มีประวัติการเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน