อนามัยโลกชี้ โควิด-19 สะเทือนโลกทุกมิติ

Director-General of World Health Organization (WHO) Tedros Adhanom Ghebreyesus attends a news conference on the outbreak of the coronavirus disease (COVID-19) in Geneva, Switzerland, March 16, 2020. (Christopher Black/WHO/Handout)

องค์การอนามัยโลก ชี้ว่าสถานการณ์ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน ยิ่งกว่าปัญหาด้านสาธารณสุข หลังยอดติดเชื้อทะลุ 1 ล้านคนทั่วโลก ด้านไอเอ็มเอฟ ยอมรับ วิกฤตโควิด-19 สะเทือนโลกรุนแรงกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์แล้ว

ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เทดรอส เกเบรเยซุส กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันศุกร์ว่า ตอนนี้ผลกระทบไปไกลกว่าวิกฤตด้านสาธารณสุขโลก ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุ 1 ล้านรายและเสียชีวิตเกือบ 6 หมื่นรายทั่วโลก และเรียกร้องให้นานาประเทศ เร่งแจกจ่ายอุปกรณ์ตรวจเชื้อโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด

นายเกเบรเยซุส เตือนว่า ประเทศที่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการติดเชื้อเร็วเกินไป อาจมีความเสี่ยงมากกว่าเดิม ทั้งในแง่เศรษฐกิจที่อาจจะฟื้นตัวได้ช้าและกินเวลานาน อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสที่จะมีการกลับมาติดเชื้อของผู้คนในประเทศด้วย ซึ่งทางแก้ไขในตอนนี้ คือ การยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด พร้อมๆกับการผ่อนคลายและเพิ่มการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจกับประชาชนในช่วงวิกฤตนี้ไปก่อน

ด้านทางการสาธารณสุขออสเตรเลีย เบรนแดน เมอร์ฟี กล่าวเมื่อวันศุกร์ด้วยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตอาจมากกว่าที่รายงานในปัจจุบันราว 5-10 เท่าตัว เพราะยังมีหลายประเทศที่ขาดแคลนอุปกรณ์ตรวจเชื้อโคโรนาไวรัส

ประเด็นการตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัสทั่วโลก มีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองอู่ฮั่น ของจีน พื้นที่การระบาดหนักของโคโรนาไวรัสจุดแรกของโลก เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน ออกมาเตือนว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่โควิด-19 จะกลับมาระบาดอีกครั้งในพื้นที่ และจำเป็นที่จะต้องหามาตรการป้องกันและรับมืออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเองผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในพื้นที่จะลดลงไปแล้วก็ตาม

อีกด้านหนึ่ง นางคริสตาลินา จอร์จิเอวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้เพิ่มเติมเมื่อวันศุกร์ว่า นี่คือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของมวลมนุษยชาติในช่วงชีวิตของเธอ เพราะตอนนี้โลกเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจแล้ว และยอมรับว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี ค.ศ. 2008 เสียอีก

ส่วนสถานการณ์ในสหรัฐฯ ทำเนียบขาวเตรียมประกาศคำแนะนำให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนจุดยืนเดิมที่เคยระบุว่าการใส่หน้ากากไม่ได้ช่วยหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสได้

โดยที่นำหน้าไปก่อน คือ รัฐนิวยอร์ก ที่แนะให้นิวยอร์กเกอร์ ประยุกต์ผ้าพันคอ ผ้าโพกศีรษะ หรือหน้ากากอนามัยที่ทำเอง เพื่อใช้ปกปิดปากและจมูก แต่ไม่แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องรับมือกับผู้ติดเชื้อ ส่วนที่นครลอสแอนเจลิส ประกาศให้ประชาชนใช้ผ้าปิดปากเวลาเดินทางไปในที่สาธารณะ

ส่วนมาตรการ Stay at home ในอเมริกา ตอนนี้มี 30 รัฐ และที่กรุงวอชิงตัน เริ่มบังคับใช้ประกาศมาตรการดังกล่าว โดยแนะให้ประชาชนอยู่ในเคหะสถาน และอนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้เฉพาะกิจธุระสำคัญเท่านั้น เพื่อลดการระบาดของโคโรนาไวรัส ที่ในอเมริกาตอนนี้มีผู้ติดเชื้อกว่า 260,000 ราย และเสียชีวิตกว่า 6,600 รายแล้ว