Your browser doesn’t support HTML5
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เสียเวลาอันมีค่าที่จะเตรียมตัวรับมือกับการระบาดของโคโรนาไวรัสสสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน สำหรับการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันและรักษาผู้ป่วย นับตั้งแต่การระบาดในประเทศจีนแสดงความรุนแรงเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา
สำนักข่าวเอพี อ้างถึงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และรายงานว่า หน่วยงานทั้งหลายเพิ่งจะเริ่มสั่งซื้อหน้ากาก N-95 รวมทั้งเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์อื่นๆ ที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องการ เมื่อกลางเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่โรงพยาบาลต่างๆ ในหลายๆ รัฐ ต้องรองรับผู้ติดเชื้อจำนวนหลายพันราย โดยไม่มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นเพียงพอ จนต้องร้องขอให้รัฐบาลจัดสรรส่วนแบ่งจาก Strategic National Stockpile ซึ่งเป็นคลังกลางที่จัดเก็บอุปกรณ์และเสบียงด้านสาธารณสุข เพื่อช่วยเหลือรัฐต่างๆ ในช่วงเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งสหรัฐฯ จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1999 เพื่อรับมือกับเหตุที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนสหัสวรรษ Y2K และมีการขยายเพิ่มขึ้นหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน หรือ 9/11 และสภาคองเกรสจัดสรรเงินเพื่อเตรียมรับวิกฤติการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสไข้หวัดใหญ่ในปี ค.ศ. 2006
แต่ในเวลานี้ รายงานข่าวระบุว่าคลังดังกล่าวน่าจะอยุ่ในสภาพเกือบว่างเปล่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ในบางรัฐและบางเขตกล่าวว่า ได้รับอุปกรณ์ที่เสียหายบ้าง หรือหน้ากากที่เก่าเก็บจนใช้ไม่ได้ จากคลังนี้ด้วย
ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ ออกมาย้ำว่ารัฐบาลกลางสหรัฐฯ ควรรอเฉยๆ ให้รัฐบาลรัฐต่างๆ รับมือกับภาวะการระบาดเอง
ในการแถลงข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน แจเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยของปธน. ทรัมป์ กล่าวว่า คลังอุปกรณ์สาธารณสุขของรัฐบาลกลางนั้นควรเป็นของรัฐบาลกลางเท่านั้น และมิได้มีไว้ให้รัฐบาลรัฐต่างๆ ใช้งาน
คำกล่าวดังกล่าว ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเตรียมพร้อมและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินรู้สึกผิดหวัง และพร้อมตอกกลับว่า รัฐบาลกลางนั้นต้องเป็นผู้นำและรับผิดชอบที่จะจัดหาเสบียงคลังด้านการแพทย์ให้มากพอแจกจ่ายเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลรัฐต่างๆ ต้องเปิดศึกแย่งชิงเสบียงอุปกรณ์กันเอง เพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ของตน โดย แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นพื้นที่การระบาดหนักระดับต้นของประเทศ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า สถานการณ์ในเวลานี้ เหมือนรัฐนิวยอร์กกำลังแข่งเปิดประมูลซื้อเครื่องช่วยหายใจทางเว็บไซท์อีเบย์ แข่งกับอีกกว่า 50 รัฐอยู่
เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ คูโอโมและผู้ว่าการรัฐอื่นๆ เรียกร้องให้ปธน.ทรัมป์ ใช้อำนาจตามกฎหมายที่เรียกว่า Defense Production Act เพื่อสั่งให้บริษัทเอกชนเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลต่างๆ แต่ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ตอบสนองและกล่าวว่า ภาคเอกชนทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว
แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ทั่วโลกได้รับรู้ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงสุด ปธน.ทรัมป์ เพิ่งแสดงทีท่าที่อ่อนลง และประกาศว่าได้สั่งบริษัททั้งหลายให้เร่งผลิตสินค้าและอุปกรณ์ที่จำเป็นด้านสาธารณสุขแล้ว
ตลอดเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ ผู้นำสหรัฐฯ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวเนื่องกับวิกฤติ พยายามย้ำว่า สถานการณ์โควิด-19 ไม่น่ากังวล รัฐบาลสามารถควบคุมทุกอย่างได้ และทุกอย่างจะคลี่คลายในไม่ช้า
สำนักข่าวเอพี ระบุด้วยว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีข้อมูลมากพอ ทำให้การระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นโดยไม่มีใครทราบ และรัฐบาลในทุกระดับเกิดความชะล่าใจ ขณะที่ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงสาธาณสุขสหรัฐฯ ชี้ว่า รัฐบาลของปธน.ทรัมป์ ไม่ได้สั่งซื้ออุปกรณ์และเวชภัณฑ์ใดๆ จนกระทั่งการระบาดรุนแรงไปทั่วแล้ว
แต่หลังปธน.ทรัมป์ ประกาศให้โควิด-19 เป็นภาวะวิกฤติฉุกเฉินระดับชาติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มเริ่มกดดันบริษัทผู้ผลิตต่างๆ ให้เร่งนำส่งอุปกรณ์จำเป็นเช่นหน้ากากอนามัย และเครื่องช่วยหายใจ แต่ไม่มีแห่งใดยืนยันที่จะนำส่งเสบียงได้ทันก่อนช่วงปลายเดือนเมษายนที่หน่วยเฉพาะกิจด้านโคโรนาไวรัสของทำเนียบข่าวคาดว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 100,000 รายได้เลย
และหลังจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐฯ หรือ CDC ออกคำแนะนำเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหาผ้าพันคอหรือผ้าคลุมศีรษะมาดัดแปลงเป็นหน้ากากแทน ปธน.ทรัมป์ ออกมาให้ความเห็นว่า พลเมืองชาวอเมริกันที่ไม่มีหน้ากากอนามัยแบบมาตรฐานควรใช้ผ้าพันคอแทน
ผู้นำสหรัฐฯ ยังกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวประจำวันเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า “ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ใช้ผ้าพันคอแทน” พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า ในกรณีที่เนื้อผ้านั้นดีพอ ผ้าพันคอน่าจะดีกว่าหน้ากากเสียอีก