หนึ่งปีหลังจากที่ คริส ร็อค ดาราตลกผิวดำ ถูก วิล สมิธ ตบหน้าบนเวทีการประกาศผลรางวัลออสการ์จนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก เขาได้เปิดตัวในรายการตลกแบบเดี่ยวไมโครโฟนตอนใหม่ทางช่องเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ที่มีเนื้อหาบางส่วนมุ่งเป้าไปที่ วิล สมิธ และภรรยา เจดา พิงเกตต์ สมิธ โดยตรง
คริส ร็อค กล่าวในรายการสตรีมสดผ่าน Netflix เมื่อวันเสาร์ จาก Hippodrome Theatre ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ โดยบอกว่า ตนได้ชมภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับทาสผิวดำในอเมริกาเรื่อง "Emancipation" ที่ วิล สมิธ ร่วมแสดง เพียงแค่ต้องการเห็นสมิธ "ถูกทุบตี" ครั้งแล้วครั้งเล่า
ร็อค ยังกล่าวถึง เจดา พิงเกตต์ สมิธ ภรรยาของวิล สมิธ ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดรอยร้าวครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจากการที่เธอออกมาเรียกร้องให้คว่ำบาตรงานประกาศรางวัลออสการ์เมื่อปี 2016 ซึ่งร็อคเป็นพิธีกร ด้วยเหตุผลว่าสามีของเธอและนักแสดงผิวดำคนอื่น ๆ มิได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลใด ๆ ในคราวนั้น
เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว สมิธเดินขึ้นไปบนเวทีประกาศผลออสการ์และตบหน้าคริส ร็อค หลังจากที่เขาแซวภรรยาของสมิธ เรื่องที่เธอต้องโกนผมด้วยโรคประจำตัว
หลังจากนั้น วิล สมิธ ได้ออกมากล่าวขอโทษต่อการกระทำของเขา และเขาถูกห้ามเข้าร่วมการประกาศผลรางวัลออสการ์เป็นเวลา 10 ปี ในขณะที่คริส ร็อค ค่อนข้างเก็บตัวเงียบหลังเหตุการณ์นี้จนกระทั่งมาถึงโชว์ตลกพิเศษที่ชื่อว่า "selective outrage" ชิ้นนี้
WILL SMITH-CHRIS ROCK
ร็อค ยังได้เปิดเผยถึงปัญหาในการครองคู่ของสมิธกับภรรยาจากกรณีที่ พิงเกตต์ สมิต ออกมายอมรับต่อสาธารณชนว่า เธอมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับชายอื่นเมื่อปี 2020 ในสิ่งที่เธอเรียกว่า "ความซับซ้อนยุ่งเหยิง" ซึ่งร็อคกล่าวในรายการตลกของเขาว่า "ผมไม่มีอะไรซับซ้อนยุ่งเหยิง" "เธอทำร้ายสามีของเธอเจ็บยิ่งกว่าที่เขาทำร้ายผมเสียอีก"
รายการตลกของ คริส ร็อค ชิ้นนี้เป็นรายการพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีไลฟ์สตรีมของ Netflix ซึ่งถือเป็นการทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าวก่อนที่จะขยายบริการที่ว่านี้ โดย Netflix ตกลงทำสัญญามูลค่า 40 ล้านดอลลาร์กับคริส ร็อค เพื่อทำรายการตลกแบบสองตอน
สำหรับตอนที่เพิ่งถ่ายทอดสดไปนั้น นอกจากเรื่องราวระหว่างเขากับสมิธแล้ว ร็อคนังพูดถึงเรื่องของราชวงศ์อังกฤษ ตระกูลคาร์ดาเชียน และเรื่องการทำแท้งด้วย
โดยในตอนจบ ร็อคกล่าวถึงเหตุการณ์ตบสนั่นออสการ์ในคราวนั้นว่า สาเหตุที่ตนไม่ตอบโต้ทันทีเพราะ "พ่อแม่ผมสอนไว้ว่า... อย่าทะเลาะกันต่อหน้าคนผิวขาว" นั่นเอง
- ที่มา: รอยเตอร์