Your browser doesn’t support HTML5
วุฒิสภาสหรัฐฯ ริเริ่มโครงการวีซ่าประเภท EB-5 เมื่อ 25 ปีที่แล้วเพื่อให้โอกาสแก่นักลงทุนต่างชาติในการอาศัยและทำธุรกิจในสหรัฐฯ อย่างถาวร ด้วยการลงทุนในธุรกิจต่างของสหรัฐฯ โครงการนี้อนุญาตให้นักลงทุนที่มีฐานะได้วีซ่าเร็วขึ้น ไม่ต้องรอนานเป็นปีๆ เหมือนกับการขอวีซ่าผ่านญาติที่ถือสัญชาติอเมริกันหรือผ่านผู้ว่าจ้าง
วีซ่านักลงทุนของสหรัฐฯ นี้กำหนดให้ชาวต่างชาติลงทุนในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งที่ช่วยสร้างงานหรือช่วยรักษาตำแหน่งงานในสหรัฐฯอย่างน้อย 10 ตำแหน่ง
นักลงทุนต่างชาติต้องลงทุนอย่างน้อยหนึ่งล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือห้าแสนดอลล่าร์สหรัฐฯ หากธุรกิจดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตชนบทบางเขตหรือในพื้นที่ที่มีอัตราการว่างงานสูง หากนักลงทุนต่างชาติลงทุนในธุรกิจตามกำหนดไว้นี้แล้ว พวกเขาจะได้รับใบเขียวหรือกรีนการ์ดซึ่งเป็นเอกสารที่อนุญาตให้พำนักและทำงานในสหรัฐฯ ได้อย่างถาวร
ในช่วง 24 ปีแรกของโครงการนี้ จำนวนคนขอวีซ่านักลงทุนเข้าสหรัฐฯ ไม่เคยเกินจำนวนวีซ่าที่กำหนดไว้ต่อปี แต่เมื่อปีพ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักลงทุนชาวจีนขอวีซ่าประเภทนี้กันอย่างล้นหลามจนเกินจำนวนวีซ่าที่กำหนดไว้ต่อปี จากจำนวนผู้ได้รับวีซ่านักลงทุนเข้าสหรัฐฯ ทั้งหมดของปีที่แล้ว เป็นนักลงทุนชาวจีนถึง 85 เปอร์เซ็นต์
คุณ Bernard Wolfsdorf ผู้ก่อตั้งบริษัทกฏหมายด้านการย้ายถิ่น Wolfsdorf Immigration Law Group ในนครลอสเองเจลลีส กล่าวว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศจีน มีแต่ชาวจีนเท่านั้นที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วที่จะลงทุนเป็นเงินหนึ่งล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับกรีนการ์ด
ใบสมัครขอวีซ่านักลงทุนเข้าสหรัฐฯ ยังหลั่งไหลมาจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่อย่างไม่ขาดสายจนถึงปีนี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ประกาศว่าสำหรับการออกวีซ่าในปีนี้จะพิจารณาเฉพาะผู้สมัครชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยื่นใบขอวีซ่าก่อนวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ผู้สมัครจากประทศอื่น รวมทั้งจากฮ่องกง ไต้หวัน มาเก้า จะไม่ได้รับผลกระทบ
จำนวนผู้ขอวีซ่านักลงทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากปัญหามลภาวะในจีนที่รุนแรงขึ้น บรรยากาศการเมืองจีนที่ตึงเครียด ตลอดจนโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าในสหรัฐฯ
และสำหรับเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯ นักลงทุนชาวจีนกลายเป็นแหล่งที่มาของการลงทุนในท้องถิ่นและช่วยสร้างงาน เงินลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ มูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ มาจากโครงการวีซ่านักลงทุนนี้ ซึ่งผู้สนับสนุนโครงการชี้ว่าเป็นเเหล่งเงินลงทุนที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและพื้นที่รายได้ต่ำ แต่บรรดาผู้ไม่เห็นด้วยกล่าวว่าโครงการนี้เพียงแค่ขายวีซ่าแก่ชาวต่างชาติที่ร่ำรวยเท่านั้นและไม่สร้างผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม คุณ Audrey Singer แห่งสถาบัน Brookings Institute กล่าวว่าเมืองต่างๆ ในสหรัฐฯ แข่งขันกันอย่างเข้มข้นเพื่อดึงดูดชาวจีนที่ร่ำรวยที่ต้องการเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ มีการตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคขึ้นมามากมายเพื่อดึงเงินลงทุนจากชาวต่างชาติเข้าไปในโครงการพัฒนาใหญ่ๆ ที่มีคุณสมบัติตรงกับข้อกำหนดของวีซ่า EB-5
ในขณะนี้ นักลงทุนจีนที่ขอวีซ่าประเภทนี้เพื่อย้ายมาอาศัยในสหรัฐฯต้องขึ้นบัญชีรอนาน 2 -3 ปีและปีนี้ มีผู้ขอวีซ่า EB-5 ที่รอการพิจารณาทั้งหมดจากทุกประเทศรวมแล้ว 13,000 คน