Your browser doesn’t support HTML5
ในการกล่าวต่อที่ประชุมเศรษฐกิจ Boao Forum ของจีน ซึ่งเปรียบเสมือนการประชุม World Economic Forum สำหรับเอเชีย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงไ ม่ได้เอ่ยชื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตรง หรือพูดพาดพิงถึงความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศทั้งสองที่กำลังก่อตัวขึ้น
แต่คำสัญญาของผู้นำจีนเรื่องการผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจดูจะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทด้านการค้า และคำขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีสินค้าเข้าจากจีนโดยตรง
โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เอ่ยคำว่า Open up หรือการเปิดตลาดถึง 42 ครั้ง และหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ จีนพร้อมเปิดรับการทำธุรกิจ ซึ่งก็ทำให้นักวิเคราะห์บางคนมองว่าเป็นการชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างนโยบายการค้าของจีนกับสหรัฐฯ นั่นเอง
ผู้นำของจีนกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนต้องการพูดอย่างชัดเจนว่าประตูของจีนนั้นจะไม่ปิดตัวลง แต่จะยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น และว่าแนวความคิดแบบสงครามเย็น รวมทั้งเกมการแข่งขันแบบแพ้ชนะ กำลังเป็นเรื่องที่ล้าสมัยมากขึ้นทุกที เพราะลัทธิการแยกตัวอย่างโดดเดี่ยวนั้น มีแต่จะทำให้พบอุปสรรคและทางตัน
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวด้วยว่า จีนจะเริ่มใช้มาตรการเปิดตลาดที่สำคัญหลายอย่างในปีนี้ ซึ่งรวมถึงการลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศด้วย
ขณะนี้จีนตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้า 25 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่รถยนต์ซึ่งจีนส่งออกไปขายในสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษีเพียง 2.5 เปอร์เซ็นต์ และประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตีจีนด้วย
นอกจากนั้น ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ยังให้สัญญาว่า จีนจะเปิดภาคการเงิน และเร่งเปิดเสรีสำหรับธุรกิจประกัน ทั้งยังระบุด้วยว่า ปักกิ่งจะปรับโครงสร้างหน่วยงานที่ดูแลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในปีนี้ เพื่อเร่งปราบปรามการละเมิดด้วย
และถึงแม้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะไม่ได้กำหนดเงื่อนเวลาที่เฉพาะเจาะจง แต่ก็กล่าวว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศจะมีขึ้นในไม่ช้า และเป็นไปอย่างรวดเร็วด้วย
แม้นักวิเคราะห์บางส่วนจะเห็นว่า คำมั่นสัญญาของผู้นำจีนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และยังไม่นับเป็นการผ่อนปรนหรือยอมอ่อนข้อตามที่สหรัฐฯ คาดหวังก็ตาม แต่ก็มีนักวิเคราะห์บางคนที่มองว่า คำประกาศของประธานาธิบดีสี น่าจะเพียงพอเพื่อผลักดันทั้งสองฝ่ายให้เข้าใกล้โต๊ะเจรจามากขึ้นได้
โดยอาจารย์ Zhang Yifan จากมหาวิทยาลัย Chinese University of Hong Kong มองว่า สิ่งที่ประธานาธิบดีสี กล่าวถึงนั้น คือการค้าอย่างสมดุลของจีน ซึ่งหมายถึงว่าจีนจะพยายามแก้ปัญหาการได้เปรียบดุลการค้ากับทุกประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะกับสหรัฐฯ เท่านั้น
ส่วนอาจารย์ Oliver Rui ผู้สอนวิชาการเงินระหว่างประเทศที่สถาบัน China Europe International Business School ก็วิเคราะห์ว่า ปัญหาขณะนี้มีความซับซ้อนและไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยเรื่องการเมืองการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ รวมทั้งทัศนะท่าทีของสหภาพยุโรปเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งนาย Larry Kudrow ที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจของทำเนียบขาวคนใหม่ ได้กล่าวไว้เมื่อหลายวันที่แล้วว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังสร้างกลุ่มพันธมิตรของประเทศต่างๆ เพื่อต่อสู้เรื่องการปฏิบัติด้านการค้าของจีน และคาดว่าสหภาพยุโรปจะเป็นหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรที่ว่านี้ด้วย
แต่ก็ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะตระหนักในเรื่องนี้ดีเพราะได้แสดงท่าทีระหว่างการกล่าวปราศรัยว่า เราควรเลือกเส้นทางของการเจรจาหารือไม่ใช่ความขัดแย้ง และเลือกสร้างความเป็นหุ้นส่วนร่วมมือ แทนที่จะสร้างกลุ่มพันธมิตรในหนทางเดินใหม่ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ ขึ้น