ทีมหาเสียงของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมากล่าวปกป้องบัญชีใหม่ของไบเดนที่ปรากฎในสื่อสังคมออนไลน์ ติ๊กตอก (TikTok) โดยระบุว่าเป็นวิธีใหม่ในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามหน่วยงานของรัฐบาลใช้สื่อสังคมออนไลน์นี้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง
เมื่อวันอาทิตย์ บัญชีหาเสียงของไบเดนในติ๊กตอกโพสต์วิดีโอประธานาธิบดีไบเดนกำลังตอบคำถามเกี่ยวกับการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลระหว่างทีมแคนซัสซิตี้ ชีฟส์ กับทีมซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส และยังพูดถึงทฤษฎีสมคมคิดที่กำลังเป็นกระแส ว่าด้วยเรื่องของนักร้องหญิงชื่อดัง เทย์เลอร์ สวิฟต์ และแฟนหนุ่มนักอเมริกันฟุตบอล ทราวิส เคลซี
ร็อบ ฟลาเฮอร์ตี ผู้จัดการคณะหาเสียงของปธน.ไบเดน แถลงว่า "บัญชีติ๊กตอกของไบเดนเปิดตัวเมื่อวันอาทิตย์ และมียอดผู้ชมมากกว่า 5 ล้านคนซึ่งถือเป็นข่าวดีทั้งในแง่ของการมีส่วนร่วมและความสำเร็จในการหาช่องทางใหม่ ๆ เพื่อเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสภาวะแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเฉพาะตัวมากขึ้นในปัจจุบัน"
Your browser doesn’t support HTML5
อย่างไรก็ตาม โฆษกความมั่นคงทำเนียบขาว จอห์น เคอร์บี กล่าวว่า "ยังคงมีความมั่นคงด้านความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้ติ๊กตอกในอุปกรณ์ของรัฐบาล และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในด้านนโยบายการห้ามใช้ติ๊กตอก"
ทั้งสำนักงานสืบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) และคณะกรรมาธิการสื่อสารของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (เอฟซีซี) เตือนถึงการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โดยบริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) เจ้าของติ๊กตอก และอาจแชร์ข้อมูลเหล่านั้นกับหน่วยงานรัฐบาลจีน
เมื่อปี 2022 ปธน.ไบเดน ลงนามในร่างกฎหมายห้ามเจ้าหน้าที่รัฐเกือบ 4 ล้านคนใช้ติ๊กตอกในอุปกรณ์สื่อสารของหน่วยงานรัฐบาลต่าง ๆ โดยยกเว้นเฉพาะผู้รักษากฎหมาย หน่วยงานด้านความมั่นคง และการวิจัยด้านความปลอดภัยแห่งชาติ
วุฒิสมาชิก จอช ฮอว์ลีย์ พรรครีพับลิกัน ระบุในสื่อ X ว่า "คณะหาเสียงของไบเดนกำลังโอ้อวดเรื่องการใช้แอปสอดแนมของจีน แม้ว่าตัวไบเดนเองที่เป็นผู้ลงนามห้ามใช้แอปนี้ในอุปกรณ์ของรัฐบาลกลาง"
แต่ทางทีมหาเสียงของไบเดนยืนยันว่า ได้ใช้โทรศัพท์แยกต่างหากจากเครื่องอื่นสำหรับแอปติ๊กตอก เพื่อไม่ให้ปะปนกับการทำงานหรือการสื่อสารอื่น ๆ รวมทั้ง อีเมล์
ปัจจุบัน ติ๊กตอกมีผู้ใช้ในอเมริการาว 150 ล้านคน และถือเป็นหนึ่งในสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่วัยรุ่นอเมริกัน
- ที่มา: เอพี