Your browser doesn’t support HTML5
เกาะเล็กๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นกลางเเม่น้ำแอนนาคอสเตีย เป็นสถานที่ที่เหมาะมากแก่นักชีววิทยาในการศึกษาค้างคาว
ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ติดตั้งตาข่ายชั่วคราวเพื่อดักจับค้างคาวเพื่อนำไปศึกษาเเละตรวจหาโรค
ด้วยเงินสนับสนุนการวิจัยจากกรมประมงเเละสัตว์ป่าสหรัฐอเมริกา ทีมนักชีววิทยากำลังเน้นศึกษาว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หากินตอนกลางคืนนี้ กำลังติดโรคระบาดที่เรียกว่าโรคราจมูกขาวหรือไม่ เนื่องจากตั้งเเต่ปี ค.ศ. 2007 เป็นต้นมา มีโรคลึกลับที่คร่าชีวิตค้างคาวในทวีปอเมริกาเหนือไปแล้วมากกว่า 6 ล้านตัว
มาร์โค คาร์เวลโล่ นักชีววิทยาเเห่งสำนักงานพลังงานเเละสิ่งเเวดล้อมของกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ค้างคาวสีน้ำตาลตัวใหญ่มีอายุอยู่นาน 20 ปี และออกลูกเพียงปีละตัวเท่านั้น นี่ทำให้โรคราจมูกขาวมีผลกระทบรุนเเรงต่อค้างคาวพันธุ์นี้เพราะเป็นค้างคาวที่มีลูกน้อย
ลินซี่ โรบอ นักชีววิทยา อธิบายว่าโรคราจมูกขาวไม่ติดต่อสู่คน เเต่คนเข้าไปในถ้ำจะกลายเป็นพาหะที่นำสปอร์หรือเซลล์สืบพันธุ์ของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ออกมาจากถ้ำโดยไม่ตั้งใจ ในถ้ำที่มืดเเละชื้น เชื้อรานี้จะเเพร่ได้อย่างรวดเร็วเเละทำให้ค้างคาวมีพฤติกรรมผิดปกติ
โรบอ กล่าวว่าค้างคาวจะตื่นบ่อยขึ้นกว่าที่ควรในช่วงที่ค้างคาวจำศีลและเมื่อตื่นบ่อยขึ้น มันจะไม่สามารถหาอาหารได้และตายลงในที่สุด การตายลงของค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์ผสมเกสรพืชที่สำคัญ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์
โรบอ กล่าวว่าหากไม่มีค้างคาว ยุงจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นเดียวกับศัตรูพืชอีกหลายชนิดที่จะเพิ่มจำนวนและทำลายเเหล่งอาหารของคนเรา สถานการณ์นี้จะเลวร้ายลงไปอีกหากเรายังไม่มีวิธีการใดๆ ออกมาปกป้องค้างคาวที่เหลืออยู่
นักชีววิทยาคิดว่ามีค้างคาวหลายสายพันธุ์ที่ไม่กลับไปอาศัยในถ้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อรา และมีค้างคาวเข้ามาอาศัยในเมืองแห่งต่างๆ ทำให้คนเราต้องเข้าใจว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร หากเจอค้างคาวในอาคารบ้านเรือนของตน
โรบอ กล่าวว่า คนเราไม่ควรจับต้องค้างคาว ไม่ควรรบกวนค้างคาวเพราะอาจจะถูกค้างคาวกัดได้ ค้างคาวอาจมีเชื้อพิษสุนัขบ้า ดังนั้นควรติดต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมสัตว์ให้ไปเป็นผู้จับและย้ายค้างคาว
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)