ลิ้งค์เชื่อมต่อ

"โรคจมูกขาว" ภัยร้ายที่กำลังคุกคามค้างคาวในอเมริกาเหนือ


The little brown bat, once one of the most common bats of North America, suffered a major population collapse in the northeastern U.S. due to White Nose Syndrome.(Photo courtesy of Organization for Bat Conservation)
The little brown bat, once one of the most common bats of North America, suffered a major population collapse in the northeastern U.S. due to White Nose Syndrome.(Photo courtesy of Organization for Bat Conservation)

ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่าโรคเชี้อรา White Nose Syndrome จะแพร่ระบาดในค้างคาวทั่วโลกหากไม่มีวิธีควบคุม

please wait

No media source currently available

0:00 0:04:40 0:00
Direct link

กว่าครึ่งหนึ่งของค้างคาว 45 สายพันธุ์ในอเมริกาเหนือถูกคุกคามรุนแรงจากโรคเชื้อรา White Nose Syndrome ที่มาจากยุโรปเมื่อ 10 ปีที่เเล้ว

โรคเชื้อรา White Nose Syndrome หรือ WNS ที่สามารถแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในถ้ำและเหมืองหลายพันแห่งทั่วทวีปอเมริกาเหนือ เเพร่ระบาดจากเขตปกครองหนึ่งในรัฐนิวยอร์ค ไปยัง 30 รัฐทั่วสหรัฐอเมริกาและ 5 จังหวัดในแคนาดา ทำให้ค้างคาวตายลงเเล้ว 10 ล้านตัว

หากนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถหาทางหยุดยั้งการระบาดของโรคเชื้อราชนิด WNS นี้ได้ มันอาจจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่เกิดแก่สัตว์ป่าในทวีปอเมริกาเหนือตั้งเเต่คริสต์ศตวรรษที่เเล้ว

คุณ Rob Mies ผู้ก่อตั้งองค์การเพื่อการอนุรักษ์ค้างคาว (Organization for Bat Conservation) หรือ OBC กล่าวว่า ความเสียหายนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อคนด้วย เขากล่าวว่าค้างคาวมีคุณประโยชน์ต่อคนทางเศรษฐกิจและทางนิเวศวิทยาหลายอย่างด้วยกัน เพราะค้างคาวกินแมลงเป็นอาหาร ช่วยผสมเกสรพืชและช่วยกระจายเมล็ดพืชไปตามธรรมชาติ

คุณ Mies กล่าวว่าเชื้อราชนิดนี้ระบาดในค้างคาวในช่วงที่ค้างคาวจำศีลในถ้ำ เชื้อราจะค่อยเติบโตบนผิวหนังของค้างคาว กัดกินผิวหนังของค้างคาวทีละเล็กละน้อย และทำให้ค้างคาวขาดน้ำ ต้องตื่นจากจำศีลหลายครั้ง ใช้พลังงานจากไขมันในร่างกายสำรองเอาไว้ให้อยู่รอดจนถึงฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง เมื่อพลังงานถูกใช้ไปจนหมด ค้างคาวจะอดอยากและตายลง

โรคเชื้อราชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากยุโรป แต่ค้างคาวในยุโรปมีภูมิต้านทานโดยธรรมชาติต่อเชื้อราชนิดนี้ ต่างจากค้างคาวในอเมริกา

A deadly disease in bats called “white-nose syndrome” was confirmed on this tri-colored bat from a cave in Lincoln County, Missouri in March 2012. The name describes the white fungus shown on the face and wings of the infected bat.
A deadly disease in bats called “white-nose syndrome” was confirmed on this tri-colored bat from a cave in Lincoln County, Missouri in March 2012. The name describes the white fungus shown on the face and wings of the infected bat.

​โรคเชื้อรา WNS นี้จะระบาดในสัตว์ขนาดเล็กที่อาศัยในถ้ำหรือซอกหลืบ เมื่อค้างคาวบินไปยังถ้ำเเห่งใหม่ มันจะนำเชื้อราไปแพร่ระบาดต่อไปในประชากรค้างคาวมากจำนวนขึ้น เนื่องจากค้างคาวเป็นสัตว์ที่พบได้ในทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นในทวีปแอนตาร์กติกา

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าหากไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดได้ในเร็ววัน โรคเชื้อรา WNS อาจจะระบาดไปทั่วโลก นอกจากนี้เชื้อราอาจจะเเพร่ระบาดไปยังที่ใหม่ๆ ผ่านคน โดยติดไปตามเสื้อผ้าหรือรองเท้าของคนที่ไปเที่ยวสำรวจในถ้ำ

องค์การเพื่อการอนุรักษ์ค้างคาวหรือ OBC เน้นสอนผู้คนทั่วไปเกี่ยวกับค้างคาวและชักชวนให้คนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ค้างคาว ทางองค์การจัดงานนิทรรศการแสดงค้างคาวที่มีชีวิตตามโรงเรียนต่างๆ พิพิธภัณฑ์ ตลอดจนสวนสัตว์ เพื่อเผยเเพร่ความรู้เเก่ผู้คนในการสร้างบ้านค้างคาวเพื่อสร้างที่อาศัยขนาดเล็กที่แห้งและอุ่นเเก่ค้างคาว เพื่อเป็นที่เลี้ยงลูกค้างคาว

ทางองค์การ OBC ตีพิมพ์คู่มือปลูกไม้ดอกที่เป็นมิตรต่อค้างคาว เพื่อดึงดูดเเมลงมาตอมดอกไม้ในตอนกลางคืน และกลายเป็นอาหารของค้างคาวกินแมลง

คุณ Mies อธิบายว่าวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้ค้างคาวอยู่รอดได้และเพิ่มจำนวนขึ้น และมีโอกาสอยู่รอดมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวหากติดเชื้อราชนิดนี้ ในขณะเดียวกัน เขากล่าวว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหาวิธีต่อสู้กับโรคเชื้อรา White Nose Syndrome นี้

เขากล่าวว่านักวิทยาศาสตร์ต้องหาวิธีที่ปลอดจากการใช้สารเคมีเป็นพิษ เพื่อกำจัดเชื้อราโดยไม่สร้างอันตรายต่อค้างคาว แต่ก็ไม่ต้องการเข้าไปในถ้ำเพื่อกำจัดเชื้อรา เพราะจะส่งผลเสียต่อถ้ำและอาจจะสร้างความเสียหายแก่ค้างคาวหลายสายพันธุ์ ไม่คุ้มกับการรักษาค้างคาวเพียงสายพันธุ์เดียว

เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเชื้อเเบคทีเรียชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ควบคุมโรคเชื้อรานี้ได้ตามธรรมชาติ หากนำไปฉีดบนผนังถ้ำ มีการทดสอบฉีดเชื้อเเบคทีเรียตัวนี้เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมา และพวกเขาหวังว่าจะเห็นผลในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลินี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ค้างคาวตื่นจากการจำศีล

นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการอื่นๆร่วมด้วย ตั้งเเต่การใช้เครื่องฉีดเชื้อเเบคทีเรียอัตโนมัติ ที่ค้างคาวจะบินผ่านขณะบินออกมาจากถ้ำ เพื่อช่วยนำเเบคทีเรียออกไปปล่อยในอากาศในแหล่งที่อยู่อาศัย ช่วยกำจัดเชื้อรารุนแรงชนิดนี้ตามแหล่งอาหารของค้างคาวไปในตัว

คุณ Mies กล่าวว่าการใช้มาตรการเหล่านี้ และการพยายามค้นหาวิธีการใหม่ๆ มีความสำคัญมากในการอนุรักษ์ค้างคาว และเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราชนิดนี้เเพร่ระบาด ทำลายประชากรค้างคาวในอเมริกาเหนือรุนแรงกว่านี้

(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)

XS
SM
MD
LG