ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและด้านโฆษณาร่วมกันแนะนำให้รัฐบาลออสเตรเลียพิจารณาดำเนินมาตรการแจกเงินเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนออกมารับวัคซีนโควิด-19 หลังอัตราการแจกจ่ายเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากความลังเลและความสับสนในหมู่ประชาชน
การวิจัยล่าสุดที่ร่วมกันจัดทำโดยหนังสือพิมพ์สองฉบับของออสเตรเลีย แสดงให้เห็นว่า ราว 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า ตนไม่มีแผนจะฉีดวัคซีนในเร็วๆ นี้ โดยมีการพบว่า ยังคงมีความสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบของวัคซีนในหลายชุมชนอยู่ และผลสำรวจยังชี้ด้วยว่า ชาวออสเตรเลียจำนวนมากเชื่อว่า การฉีดวัคซีนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ตราบใดที่พรมแดนของประเทศยังปิดอยู่
รายงานข่าวระบุว่า ความต้องการวัคซีนในออสเตรเลียในเวลานี้อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดไว้ โดยปัจจุบัน มีการฉีดราวสัปดาห์ละ 500,000 โดส ซึ่งทำให้คาดกันว่า กว่าชาวออสเตรเลียวัยผู้ใหญ่จะได้ฉีดวัคซีนกันครบก็น่าจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ดี ทางการออสเตรเลียออกมาเตือนว่า “การไม่ทำอะไรเลยอาจฆ่าตัวเราได้” โดยยกตัวอย่างการกลับมาระบาดของไวรัสใน ไต้หวัน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเคยควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19 ได้เหมือนที่ออสเตรเลียประสบความสำเร็จมาแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลออสเตรเลียพยายามกระตุ้นประชาชนให้ออกมารับวัคซีนด้วยการออกแคมเปญโฆษณาใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า การดำเนินมาตรการเช่น ลอตเตอรี หรือ การแจกเงิน หลังการฉีดยา เช่น ที่บางประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ ได้ลองทำมาแล้ว น่าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้รับวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า แม้ว่าจะมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีดังกล่าวก็ตาม
ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการควบคุมที่ตามแนวชายแดน และการสั่งล็อคดาวน์เข้มงวด รวมทั้งการทำการตรวจหาเชื้ออย่างแข็งขัน คือ เหตุผลที่ทำให้ออสเตรเลียสามารถจัดการกับการระบาดของโควิด-19 ได้ แม้ว่า ในวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น ทางการรัฐวิกตอเรีย รายงานว่า อาจจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 2 ราย ในนครเมลเบิร์น ก็ตาม
ข้อมูลของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่เป็นต้นมา ออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อแล้วราว 30,000 คน โดยมีผู้เสียชีวิตไปทั้งหมด 910 คน
ปัจจุบัน รัฐบาลออสเตรเลียอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนในกรณีฉุกเฉินแก่วัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค และของออกซ์ฟอร์ด-แอสตราเซเนกา เท่านั้น