Your browser doesn’t support HTML5
คำประกาศระหว่างการหาเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 45% รวมทั้งจะทบทวนหรือยกเลิกข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆ ทำให้เกิดความกังวลว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดต่อไปจะใช้นโยบายปกป้องผลประโยชน์ด้านการค้าเฉพาะตน และสร้างข้อขัดแย้งด้านการค้ากับหลายประเทศ
นักวิเคราะห์เตือนว่า การลงโทษทางเศรษฐกิจต่อจีนจะมีผลต่อประเทศอื่นๆ ซึ่งอยู่ใน Supply Chain สำหรับการผลิตของจีน และส่งผลแง่ลบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้างด้วย
และเมื่อวันจันทร์ บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Global Times ของทางการจีน เตือนว่าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้นโยบายกีดกันด้านการค้ากับจีน รัฐบาลจีนก็จะตอบโต้เช่นกัน
เช่นจะยกเลิกการสั่งซื้อเครื่องบินจากบริษัทโบอิ้ง ยุติการนำเข้าถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ และยอดขายรถยนต์ของสหรัฐฯ รวมทั้งโทรศัพท์ iPhone ในประเทศจีนก็จะตกต่ำลงด้วย
นักวิเคราะห์มองด้วยว่า นอกจากผลกระทบที่อาจมีต่อจีนแล้ว นโยบาย “America First” ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะลงโทษบริษัทอเมริกันที่ outsource หรือส่งงานออกไปให้คนงานต่างชาติทำแทน ก็จะมีผลต่อเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ด้วย
เพราะขณะนี้งาน outsource ที่คนงานฟิลิปปินส์ทำให้กับธุรกิจสหรัฐฯ นั้นมีมูลค่าถึง 10% ของผลผลิต GDP
และนอกจากฟิลิปปินส์แล้ว ภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมรถยนต์ของเกาหลีใต้ ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำตามคำขู่ว่าจะทบทวนหรือยกเลิกข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ
ข้อตกลงการค้า TPP ซึ่งสหรัฐฯ เจรจาและลงนามกับอีก 11 ประเทศในย่านเอเชียแปซิฟิคก็อยู่ในข่ายจะถูกกระทบเช่นกัน เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วประเทศที่ร่วมอยู่ในข้อตกลง TPP นับเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของสหรัฐฯ คือมีสัดส่วน 44% สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม และ 85% สำหรับผลผลิตการเกษตรของสหรัฐฯ
และขณะที่เอเชียกำลังรอความชัดเจนเรื่องนโยบายการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ นักวิเคราะห์ทั้งหลายก็หวังว่า คำประกาศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างการหาเสียง จะเป็นเพียงถ้อยคำโวหารซึ่งจะไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 20 มกราคม ปีหน้า