วิเคราะห์: 4 ฉากการเมือง เมื่อ ‘พิธา’ ไม่ผ่านโหวตนายกฯ รอบแรก 

Thailand's parliament votes for a new prime minister

วีโอเอไทยสัมภาษณ์นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ ‘พิธา’ ฝ่าด่านโหวตนายกฯ ไม่ได้ สะท้อนพลังต่อต้านที่รุนแรง เปิด 4 ความเป็นไปได้ที่น่าจับตามองในการโหวตครั้งถัดไป ทั้งโอกาสสุดท้ายของก้าวไกล การเปลี่ยนขั้วการนำ ไปจนถึงรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งทั้งหมดมีราคาที่ต้องจ่าย

พลันที่การนับคะแนนรับรองการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แห่งราชอาณาจักรไทยจบสิ้นลงในเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม ความพยายามบทที่หนึ่งของกลุ่มพรรคร่วม 8 พรรค ที่เสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อขึ้นทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลก็ปิดฉากลงเพราะได้รับเสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสมาชิก 750 ที่นั่งในรัฐสภา

มติดังกล่าวทำให้ประเทศไทยยังคงไม่มีนายกฯ และรัฐบาลใหม่ แม้ผลการเลือกตั้งถูกประกาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่กลางเดือน มิถุนายน และพรรคก้าวไกลสามารถรวบรวมเสียงได้ถึง 312 เสียงจาก 500 เสียงในสภาล่างแล้วก็ตาม

ภายใต้สภาวะเช่นนี้ เวลาที่เหลือก่อนการนัดโหวตจึงเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ทางการเมืองสารพัดที่น่าจับตามอง

นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า สรุปบทเรียนของหนึ่งวันที่ยาวนานนี้ให้วีโอเอไทย พร้อมแสดงมุมมองไปข้างหน้าถึงการโหวตนายกฯ ครั้งถัดไป ซึ่งสามารถเรียบเรียงและสรุปออกมาเป็นความเป็นไปได้ 4 ข้อบนฐานความเป็นจริงทางการเมืองที่ “ประเมินยาก” ทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “วันนี้วิเคราะห์ มันก็วิเคราะห์ได้ แต่สุดท้ายมันเหมือนเกมเดาใจ”

Move Forward Party leader and prime ministerial candidate Pita Limjaroenrat and Pheu Thai Party leader Cholanan Srikaew hold a memorandum of understanding signed by political parties in agreement to form a new government, in Bangkok, May 22, 2023

ถอดบทเรียน: สัญญาณต่อต้านก้าวไกล-พิธา ชัดเจน

นายสติธรกล่าวว่า เสียงเห็นชอบ 312 จาก 749 เสียง (สว. ลาออกหนึ่งคน) สะท้อนว่า สภาวะการเมืองที่แบ่งขั้วชัดเจน เมื่อผสมกับบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้สมาชิกวุฒิสภาร่วมลงคะแนนเสียงรับรองนายกฯ ทำให้ฝ่ายที่ไม่รับรองนายพิธายังครองความได้เปรียบและกำหนดเกมได้ว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้เมื่อไหร่

Stithorn Thananithichot, director of Office of Innovation for Democracy, King Prajadhipok's Institute

นายสติธรย้อนเหตุการณ์ที่ไล่เรียงมาจนถึงวันโหวตในวันที่ 13 กรกฎาคม ทำให้เห็นสัญญาณทิศทางของ สว. ว่าจะไม่ลงคะแนนเสียงให้พิธา เช่น การวางมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามมาด้วยการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งคดีหุ้นไอทีวีให้ศาลรัฐธรรมนูญแบบเร่งรีบชนิดที่เพิ่มวันประชุมประจำสัปดาห์ขึ้นมาอีก 1 วันก่อนมีมติดังกล่าว การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคดียุบพรรคก้าวไกลไว้พิจารณา รวมถึงข่าวหลุดว่า สว. ที่จะโหวตให้พิธาถูกกดดัน

เมื่อถึงวันที่ 13 กรกฎาคม การอภิปรายของเหล่าสมาชิกรัฐสภาก็ทำให้เห็นว่าอีกว่า อย่างไรเสีย สว. ก็ไม่โหวตให้นายพิธาด้วยเหตุผลสารพัด เช่น คุณสมบัติของหัวหน้าพรรคก้าวไกลจากเรื่องกรณีถือหุ้นสื่อ จุดยืนทางการเมืองในประเด็นต่าง ๆ ของพรรคก้าวไกล และที่ชัดเจนคือ เรื่องความพยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

“ข้ออ้างเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 มันเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ แต่จริง ๆ จุดประสงค์หลักเขาไม่ต้องการให้พรรคก้าวไกลมาตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 13 ที่โหวตกันเป็นแค่การปฏิเสธคุณพิธาในฐานะแคนดิเดตของ 8 พรรคร่วม ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล แต่จริง ๆ คือเขาไม่ต้องการให้ก้าวไกลเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเลย ซึ่งอันนี้ก็ต้องคอยพิสูจน์กัน”

ฉากทัศน์ที่ 1: พิธา กับหนึ่งโอกาสสุดท้าย?

นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้าระบุว่า ในการโหวตรอบที่สอง หากไม่มีปัจจัยแทรกซ้อน พรรคก้าวไกลน่าจะมีการคุยกับพรรคเพื่อไทย และขอให้นายพิธาได้ถูกเสนอชื่อเป็นครั้งที่ 2 แต่คงต้องมีการวางเงื่อนไขว่าจะมีจุดสิ้นสุดหรือไม่ว่า จะเสนอนายพิธาอีกกี่ครั้งก่อนที่จะลองเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จากฝั่งเพื่อไทยบ้าง ภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดตั้งรัฐบาลโดย 8 พรรคร่วม

นายสติธรมองว่า หากพิจารณากันบนเงื่อนไขเดิม การเสนอชื่อนายพิธาอีกครั้งอาจจะเจอแรงต้านมากกว่าเดิม เสียงที่งดออกเสียงอาจเปลี่ยนเป็นการไม่เห็นชอบ หรือไม่ก็เกิดการตีรวนจนทำให้ต้องเลื่อนการโหวตไปก่อน เช่น ไม่เข้าประชุม หรือส่งกรณีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ซ้ำ ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่

“มันก็มีสุ้มเสียงจากทาง สว. เช่นเดียวกันว่า อ้าว ก็เคยเสนอไปแล้วและได้รับผลชัดเจนว่าผลส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้ลงคะแนนเห็นชอบให้คุณพิธา และมันก็เป็นตัวเลขที่ห่างไกลจากความต้องการที่เป็นเป้าหมายของพรรคร่วม 8 พรรค คือต้องการ สว. 65 เสียง แต่ว่ามีคนโหวตให้ 13 คน เหมือนยังห่างไกลเป้าหมายมาก แล้วยังเสนอชื่อเดิมมาอีก คนก็อาจจะรู้สึกว่าถ้าอย่างนั้นจะเสนอมาทำไม”

“มันทำให้เขารู้สึกว่ามันจะเสียเวลากับการที่จะต้องมาประชุมเพื่อไปโหวตและได้คำตอบเหมือนเดิม มันก็เริ่มมีคนที่พูดว่าอาจจะมี สว. ที่ขาดประชุมจนองค์ประชุมมีปัญหาหรือเปล่า”

ฉากทัศน์ 2: การโหวตที่ยาวนาน และการถอนตัวของก้าวไกล

จากการสังเกตคำอภิปรายของทาง สว. นายสติธรวิเคราะห์แนวโน้มว่า แม้ภายใน 8 พรรคร่วม จะเปลี่ยนการนำจากพรรคก้าวไกลเป็นพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงในแง่คะแนนเสียงมากนัก หากเป็นเช่นนั้น เท่ากับแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยก็อาจจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ความเป็นไปได้นี้อาจนำไปสู่การโหวตนายกฯ ที่ยืดเยื้อ ก่อนที่แกนนำ 8 พรรคร่วมจะกลับมานั่งทบทวนความเป็นไปได้ใหม่ ๆ

“คือจะรอให้ครบก็ได้นะ ซึ่งมันก็จะทำให้ยืดเยื้อออกไปอีก เช่น มันเป็นเรื่องตัวบุคคลหรือเปล่า อยากพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย ครั้งที่สามซึ่งเป็นคิวแรกของเพื่อไทย อาจไปที่คุณเศรษฐา (เศรษฐา ทวีสิน) ครั้งที่สี่เป็นคุณอุ๊งอิ๊ง (แพทองธาร ชินวัตร) ครั้งที่ห้าเป็นคุณชัยเกษม (ชัยเกษม นิติสิริ)

Real estate mogul Srettha Thavisin of the opposition Pheu Thai Party waves to supporters while campaigning in Bangkok, May 5, 2023.

“จนถึงจุดนี้ เพื่อไทยก็บอกกับก้าวไกลว่ามันหมดแล้วแหละ เขาไม่ใช่แค่ไม่เอาแคนดิเดตของพวกเราหรอก คือเขาไม่เอาพรรคก้าวไกลร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เราจะยังยอมไปพึ่งพาเพียงเสียงของ สว. อยู่หรือ เราไม่ลองมาชวนเพื่อน ส.ส. อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเขาก็อาจมีความกังวลเรื่อง 112 หรือก้าวไกลบ้าง”

หากมาถึงจุดนี้ พรรคก้าวไกลที่ประกาศจุดยืนชัดเจนมาตั้งแต่ครั้งหาเสียงว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และมีเงื่อนไขการร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย จะต้องตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรต่อ

“ก็กลายเป็นเกมที่เกมที่ก้าวไกลอาจจะต้องเลือกว่า จะอยู่ต่อกับเพื่อไทยแล้วลุยต่อ แล้วมี 312 เสียงไปเรื่อยๆ หรือจะยอมให้เพื่อไทยเติม ส.ส. พรรคอื่นเข้ามา แล้วตัวเองต้องถอยฉากออกไป จุดนี้แหละคือจุดที่มันเกิดการเปลี่ยนขั้วได้ คือจุดที่ก้าวไกลต้องยอมถอยออกจากการเป็นแกนนำของพรรคร่วม 8 พรรค แล้วก็ปล่อยให้ 7 พรรคที่เหลือเขาเดินต่อไปกับเพื่อไทย ซึ่งเพื่อไทยก็มีหน้าที่ต้องไปเติมเสียงจากฝั่ง ส.ส. เข้ามา”

“ณ จุดนั้น ต่อให้ไม่มี สว. มาช่วยโหวต ก้าวไกลก็อาจจะแสดงสปิริตของตัวเองเพื่อปิดสวิทช์ สว. ด้วยการโหวตสนับสนุนพรรคขั้วที่เขาข้ามขั้วกันไปแล้ว”

ในจุดนี้ หากก้าวไกลไม่โหวตสนับสนุนขั้วการจัดตั้งรัฐบาลขั้วใหม่ด้วยเหตุผลเรื่องจุดยืนทางการเมือง ก็อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยไปหาเสียงสนับสนุนจาก สว. เพิ่ม ซึ่งพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องนำพรรคที่อาจจะเรียกร้องการสนับสนุนจาก สว. ได้ เช่น พรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ จุดนี้เป็นจุดที่นายสติธรมองว่า เป็นเหตุผลที่เกิดการวิเคราะห์ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อาจถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในฐานะข้อแลกเปลี่ยน

ฉากทัศน์ที่ 3: ก้าวไกลถอยแก้ ม.112

กระแสการอภิปรายในวันที่ 13 กรกฎาคม สะท้อนถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรงในประเด็นการแก้ไข ม.112 ที่พรรคก้าวไกลประกาศว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้ามาพูดคุยในสภา ความแหลมคมของประเด็นนี้ดูจะมีผลต่อความเป็นไปได้ทางการเมืองใหม่ๆ เมื่อชาดา ไทยเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขต จ.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า หากก้าวไกลไม่ยุ่งกับ ม.112 พรรคภูมิใจไทยจะยกมือให้ และไม่ร่วมรัฐบาลด้วย

ในความเป็นไปได้นี้ นายสติธรมองว่าการที่พรรคก้าวไกลจะประกาศหยุดพูดเรื่องการแก้ ม.112 คงไม่เกิดขึ้น เพราะทางพรรคเคยกล่าวไว้ตอนที่ถอยเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ ว่า หากไม่เสียหลักการก็ถอยได้ แต่เรื่อง ม.112 เป็นเรื่องของหลักการ และไม่ได้อยู่ในข้อตกลงร่วม (เอ็มโอยู) 8 พรรคด้วย

“แต่ทาง สว. เราก็เห็นจากคำอภิปรายวันที่ 13 ว่าเขาไม่เชื่อ หลายท่านถึงกับพูดดักทางด้วยซ้ำว่า ต่อให้วันนี้ก้าวไกลยืนยันอย่างชัดเจนเสียงแข็งเลยนะว่าจะหยุดเรื่องของการที่จะผลักดันที่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ไม่ว่าทางใดก็ตาม เขาก็บอกว่าเขาไม่เชื่อหรอก เพราะวันหนึ่งเคยพูดไว้แบบหนึ่ง แล้วอยู่ๆ วันนี้มาพูดว่าหยุด เพื่อจะให้ได้ตำแหน่งนายกฯ ต่อไปวันข้างหน้าได้เป็นนายกฯ ก็อาจจะเปลี่ยนใจอีก กลับคำอีก”

ฉากทัศน์ที่ 4: รัฐบาลเสียงข้างน้อยและดงงูเห่า

อีกหนึ่งความเป็นไปได้ที่มีการวิเคราะห์ คือ สมมติฐานที่พรรคอื่น ๆ นอกเหนือจากกลุ่ม 8 พรรคร่วมที่มีอยู่ 188 คนเสนอชื่อนายกฯ แข่ง และใช้เสียงสนับสนุนของ สว. 250 เสียง โหวตให้ผ่านเกณฑ์แล้วจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

ความเป็นไปได้นี้ถูกคาดคะเนหลังผลการเลือกตั้ง และถูกพูดถึงโดยวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ที่รัฐบาลเสียงข้างน้อยถูกตั้งขึ้นแล้วค่อยๆ ดูดเสียงผู้แทนฯ มาจนเป็นเสียงข้างมาก (ซึ่งต่อมาวิษณุชี้แจงว่า ไม่ได้ชี้นำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย)

ต่อความเป็นไปได้ของกรณีนี้ นายสติธรมองว่า ยังเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ เพราะในหมู่ฐานเสียงของ 8 พรรคร่วมก็มีระดับความอดทนอดกลั้นต่อแรงกดดันจากการโหวตนายกฯ ไม่เหมือนกัน โดยมีทั้งคนที่รอได้และรอไม่ได้ หากฝ่ายตรงข้ามประเมินท่าทีของฐานเสียง 8 พรรคร่วม แล้วประเมินว่า มีคนที่รอการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าคนที่รอไม่ได้ ก็อาจจะชิงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยขึ้น

ราคาที่ต้องจ่ายจากความไม่แน่นอนทางการเมือง

ผอ. สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า 8 พรรคร่วมอาจจะจับมือกันเหนียวแน่น รอจนกว่า สว. จากบทเฉพาะกาลหมดวาระไปในเดือนพฤษภาคม 2567 และรอจนกว่า สว. ชุดใหม่ขึ้นมาในช่วงเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน เพราะถึงตอนนั้นการเลือกนายกรัฐมนตรีจะใช้เสียงเพียง 500 คนในสภาล่างเท่านั้น แต่การลากยาวเช่นนั้นก็มีราคาที่ต้องจ่าย

Move Forward Party leader and prime ministerial candidate Pita Limjaroenrat and Pheu Thai Party leader Cholanan Srikaew hold a memorandum of understanding signed by political parties in agreement to form a new government, in Bangkok, May 22, 2023

นายสติธรกล่าวต่อไปว่า แม้โครงสร้างทางการบริหารราชการแผ่นดินของไทยจะทำให้รัฐบาลรักษาการสามารถทำหน้าที่ประจำได้อยู่ และสามารถใช้งบประมาณปี 2566 ในปีงบประมาณ 2567 ได้ แต่การประคับประคองประเทศของรัฐบาลรักษาการท่ามกลางกระแสความไม่พอใจของประชาชนนั้น หากมีความยืดเยื้อและความไม่พอใจขยายวง ก็ย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองด้วย

“เป็นราคาที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น กับการที่เราไม่มีความชัดเจนว่าเราจะได้นายกฯ คนใหม่เมื่อไหร่ จะตั้งรัฐบาลใหม่ได้วันไหน” นายสติธรกล่าว