Your browser doesn’t support HTML5
เครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือ ที่มีรหัสเรียกขานว่า ‘แอร์ฟอร์ซวัน’ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747-200B ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับใช้งานในกองทัพสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 1990 จำนวน 2 ลำ
ทั้ง 2 ลำมีรหัสที่ท้ายเครื่อง คือ 28000 และ 29000 และมีชื่อว่า VC-25A โดยสงวนไว้ใช้กับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
เครื่องบินยักษ์ความเร็วเทียบเท่า 'ความเร็วเสียง'
เครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันมีความสูงราวตึก 6 ชั้นและความยาวพอๆกับสนามฟุตบอล มีสมรรถนะสูง และสามารถทำเพดานบินสูงสุดที่ 14,000 เมตร หรือราว 46,000 ฟุต ความเร็วสูงสุดที่ 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจจะทำความเร็วมากกว่านั้นได้หากต้องการ
นาวาเอก มาร์ค ทิลล์แมน ผู้ที่ทำหน้าที่กัปตันเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปีค.ศ.2001 หรือเหตุการณ์ 9/11 เคยบอกว่า นักบินบนเครื่องบิน F-16 ที่คุ้มกันและนำทางในขณะนั้นเคยขอให้ลดความเร็วลง เพราะเขาพาเจ้านกยักษ์บินในระดับเร็วเกือบเท่าความเร็วเสียง หรือ ราว 332 เมตรต่อวินาที จนเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่ากำแพงเสียง และทำให้เครื่องบินรบติดตามต้องเผาผลาญน้ำมันเร็วกว่าปกติ
'ห้องทำงานลอยฟ้า' กับระบบความปลอดภัยสูงสุดของผู้นำสหรัฐฯ
เครื่องบินเจท VC-25A ไม่เหมือนเครื่องบินโบอิ้งทั่วไป เพราะนอกจากจะมีอุปกรณ์และระบบการสื่อสารที่ออกแบบพิเศษให้ทนทานต่อคลื่นการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ที่อาจจะทำลายการสื่อสารทางวิทยุแล้ว ยังมีระบบป้องกันจรวดมิสไซล์ และห้องปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ทันสมัยบนเครื่องด้วย
ภายในเครื่องจะครอบคลุม 3 ชั้น ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯจะมีห้องทำงาน ห้องนอน และห้องน้ำ อยู่เป็นส่วนสัดเฉพาะ
บินบนอากาศได้นานตามที่ต้องการ
เครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันยังสามารถบินอยู่บนอากาศได้นานเท่าที่จะนานได้ เพราะแม้ถังน้ำมันที่จุน้ำมันได้กว่า 200,000 ลิตรจะหมด ก็สามารถเติมน้ำมันทางอากาศได้ตลอดเวลาผ่านเครื่องบินเติมเชื้อเพลิง KC-135 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
สตีฟ เฮอร์แมน ผู้สื่อข่าววีโอเอ เล่าว่า การจะขึ้นเครื่องแอร์ฟอร์ซวันมีการกลั่นกรองหลายขั้นตอน และต้องมีการระบุรายชื่อล่วงหน้าก่อนการเดินทาง
ในวันเดินทาง ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะนั่งรถกันกระสุนประจำตำแหน่งไปขึ้นเครื่องบริเวณด้านหน้า โดยจะมีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนติดตามเข้าไป ขณะที่คณะผู้ติดตามส่วนใหญ่ รวมทั้งคณะผู้สื่อข่าวติดตามที่มีรายชื่อจะขึ้นเครื่องทางด้านหลัง
มาตรการเข้มก่อนขึ้นเครื่อง ต้องมีรายชื่อล่วงหน้า
แน่นอนว่าการรักษาความปลอดภัยตรวจสอบสัมภาระและบุคคลก่อนขึ้นเครื่องจะมีหลายขั้นตอน และก่อนขึ้นบันไดเครื่องก็จะมีการเช็ครายชื่อและบัตรประจำตัวอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ
ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวของวีโอเอ เล่ารายละเอียดด้วยว่า ที่นั่งของของคณะผู้สื่อข่าวอยู่ด้านหลังเครื่องติดกับบันไดเชื่อมขึ้นไปด้านในขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีไม่มากนัก และผู้สื่อข่าวจะไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนเครื่องได้ แต่สามารถขอเจ้าหน้าที่ใช้โทรศัพท์บนเครื่องได้ในกรณีเร่งด่วน
แน่นอนว่าการโดยสารเครื่องบินของกลุ่มผู้สื่อข่าวเพื่อติดตามประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะไม่สะดวกสบายเหมือนเครื่องบินพลเรือนทั่วไป แต่ก็มีของว่างประเภทผลไม้และของขบเคี้ยวให้รับประทาน
และหากมีการเดินทางเป็นระยะเวลานานจะมีบริการเสิร์ฟอาหาร แต่ก็จะไม่ทุกครั้งและไม่ระบุว่ามื้อต่อไปจะเสิร์ฟหรือไม่
ด้วยความที่เป็นเครื่องบินของกองทัพ สตีฟ เฮอร์แมน บอกว่า กฎเกณฑ์หลายอย่างที่บังคับใช้บนสายการบินพลเรือนจะไม่มีการกล่าวถึง เช่นการคาดเข็มขัดประจำที่ หรือการมีเสียงตามสายของกัปตันมาทักทายเรื่องของสภาพอากาศ
ส่วนเจ้าหน้าที่บนเครื่องล้วนเป็นนายทหารอากาศ จะทำหน้าบริการบนเครื่อง แต่จะไม่สวมเครื่องแบบ บอกชั้น หรือลำดับยศ ด้วยเหตุผลในกรณีที่ต้องออกคำสั่งด้านความปลอดภัยกับผู้โดยสารที่อาจจะมีชั้นยศที่สูงกว่า
นักข่าวติดตามกับ ประธานาธิบดี 'ทรัมป์'
สตีฟ เฮอร์แมน เล่าบรรยากาศบนเครื่องจากประสบการณ์ตรงที่เดินทางร่วมกับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ด้วยความที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ค่อยจะลงรอยกับสื่อมวลชนกระแสหลักมากนัก ทำให้บรรยากาศการทำงานของผู้สื่อข่าวจะค่อนข้างระมัดระวัง ทั้งการวางตัวและการพูดคุยกันบนเครื่อง
แต่ก็มีบ้างที่ ผู้นำสหรัฐฯจะออกมาให้สัมภาษณ์บนเครื่องในประเด็นที่ต้องการแถลง แต่สไตล์ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ คือมักจะพูดโดยไม่ค่อยรอให้ผู้สื่อข่าวเตรียมตัว เปิดกล้องหรือเครื่องบันทึกเสียงให้พร้อมก่อน ทำให้บางครั้งผู้สื่อข่าวต้องเปิดอุปกรณ์ต่างๆไว้เพื่อเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของนายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว ที่มักจะเดินลงมาทักทายทีมสื่อมวลชน และพูดคุยเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เป็นข่าวบ้าง
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวเตรียมการที่จะจัดทำเครื่องบิน แอร์ฟอร์ซวันลำใหม่ แต่ ประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้สั่งยกเลิกการจัดทำเครื่องบินมูลค่า 4 พันล้านเหรียญดังกล่าว แต่จะมีการพิจารณาใหม่ภายใต้รัฐบาลของทรัมป์ในสมัยนี้