ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง ในการเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ผู้นำสีมองถึงโอกาสในการปกครองจีน ประเทศที่กำลังแผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและภูมิภาคอย่างเต็มที่
แต่เมื่อละเสียงปรบมือกึกก้องในเวทีประชุมใหญ่ไว้เบื้องหลัง เขาทราบดีว่าเสียงวิจารณ์บทบาทของเขาทั้งภายในพรรคและจากภายนอกต่างกระหึ่มดังไม่แพ้กัน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้ฝ่ากฎเกณฑ์มากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับจีน ในขณะที่แทบไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านั้นมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการที่เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ให้ยุติการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ จำคุกสมาชิกระดับสงที่มีอำนาจในพรรค ลงโทษเจ้าหน้าที่จำนวนมากภายใต้นโยบายปราบปรามการทุจริตในประเทศ และทำให้กองทัพจีนอยู่ภายใต้อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในวาระดำรงตำแหน่ง 2 สมัยที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี ได้ผลักดันความฝันของจีนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้กลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะของโรงงานอุตสาหกรรมของโลก แต่คือประเทศใหญ่ที่ขึ้นมาขับเคี่ยวกับสหรัฐฯ ในด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
ผู้นำจีนรายนี้ยังได้ขยายโครงการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานในหลายประเทศทั่วโลก ภายใต้นโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ที่มุ่งเป้าสร้างเส้นทางสายไหมในยุคใหม่ที่แผ่ขยายไปทุกทวีป กระชับฮ่องกงให้อยู่ภายใต้รัฐบาลปักกิ่งหลังการประท้วงใหญ่เมื่อปี 2019 พร้อมทั้งต่อต้านสิ่งที่ผู้นำจีนมองว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลวอชิงตันและไต้หวันพยายามเปลี่ยนแปลง ‘สถานภาพปัจจุบัน’ หรือ status quo ของไต้หวัน ด้วยการส่งเครื่องบินรบใกล้เกาะไต้หวัน ด้วยความหวังที่จะรวมดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียว
ฝั่งผู้คัดค้านการบริหารประเทศของสี จิ้นผิง มองว่าผู้นำจีนรายนี้เป็นผู้นำที่จุกจิกเน้นรายละเอียดและเป็นผู้นำเผด็จการที่ย่ำแย่ โดยเปรียบเทียบเขากับอดีตผู้นำเหมา เจ๋อตุง และกล่าวหาผู้นำสีว่าพยายามอยู่ในอำนาจตลอดไป นอกจากนี้ยังโจมตีการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดเพื่อคุมการระบาดของโควิดที่อ้างว่าเป็นมาตรการรักษาชีวิตประชาชนจีน ว่าทำให้เศรษฐกิจจีนและระบบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกได้รับผลกระทบ
SEE ALSO: 'สี' กล่าวสุนทรพจน์ประชุมพรรคฯ ยกย่องการต่อสู้โควิดและโมเดลเศรษฐกิจจีนแต่ในมุมมองของ ลูอิส เฉิน นักธุรกิจที่เป็นเพื่อนกับปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า “เขา (ปธน.สี) นึกถึงอนาคตของประเทศและชีวิตของประชาชนเป็นหลัก แต่สื่อต่างชาติตีข่าวแต่แง่ลบของเขา”
อย่างไรก็ตาม เฉิน มีทัศนะที่สวนทางกับนักวิเคราะห์มากมาย ที่ต่างคาดการณ์ว่า ปธน.สี จะไม่เพียงแต่อยู่ต่อในสมัยสามเท่านั้น แต่จะดำรงตำแหน่งตลอดไป เพราะเฉินมองว่า ผู้นำสีอาจตระหนักดีถึงขีดจำกัดของตัวเอง เขากล่าวกับวีโอเอว่า “เขา (ปธน.สี) เพียงต้องการจะอยู่ต่ออีก 5 ปี เพื่อทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นเท่านั้น”
เฉิน ชี้ว่า แรงกดดันจากภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจมีบทบาทต่อการดำรงตำแหน่งของปธน.สี “เพราะนโยบายต่อต้านการทุจริตที่รุนแรง อาจสร้างความขุ่นเคืองให้กับหลายคนที่เป็นสมาชิกพรรค ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คนเพียงคนเดียวไม่อาจทำหลายสิ่งได้ทั้งหมด”
เส้นทางการเมืองของสี จิ้นผิง
ปธน.สี เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวัยหนุ่ม หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวมากหลายครั้ง ไต่เต้าจากเลขาพรรคฯ ระดับท้องถิ่น จนก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปี 2012 และเป็นประธานาธิบดีของจีนในเวลาต่อมา
ในแง่อุดมการณ์การเมือง ปธน.สีได้รับเสียงวิจารณ์เรื่องการยึดมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มากเกินไป โดยเขาแตกต่างจากผู้นำจีนคนอื่น ๆ ตรงที่เป็นผู้นำจีนที่เกิดหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนครองอำนาจช่วงปี 1949 และเข้ารับการศึกษาในช่วงจีนยุคใหม่
SEE ALSO: ป้ายประท้วง 'สี จิ้นผิง' โผล่กลางกรุงปักกิ่ง ก่อนประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำจีน ปธน.สี มีทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้าน ฝ่ายวิจารณ์ผู้นำจีนกล่าวหาว่าเขาโจมตีคู่แข่งทางการเมืองด้วยนโยบายต่อต้านทุจริต ทำให้การปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศถอยหลังลงคลองด้วยระบบการสอดแนมตรวจตราประชาชนในวงกว้าง การปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง การออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่กับฮ่องกง ซึ่งมีผลต่อเสรีภาพของประชาชนที่นั่น
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่วิจารณ์การทำงานของปธน.สี ยังกล่าวหามาตรการที่ควบคุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน และมาตรการที่กระทรวงศึกษาธิการของจีนสั่งควบคุมไม่ให้ส่งเด็กและเยาวชนไปโรงเรียนกวดวิชาหลังเลิกเรียน ซึ่งผู้วิจารณ์มองว่าปธน.สีพยายามเป็นการสร้างค่านิยมให้เด็กวัยเรียนต้องเรียนรู้ตามแนวทางที่เชิดชูอธิปไตยและอุดมการณ์ของชาติ แต่คณะทำงานของเขากลับแย้งว่ามาตรการทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น
ด้านกลุ่มผู้สนับสนุน มองว่าปธน.สี ทำสิ่งที่จำเป็นในการต่อต้านการทุจริต และการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอันเนื่องจากการพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดด ซึ่งนำไปสู่การปล่อยกู้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์มากเกินไปจนก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาของจีน ระบบภาษีที่ล้าสมัยที่ไม่เก็บภาษีบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ จนทำให้เกิดช่องว่างความมั่งคั่งมากขึ้น
ซู เชิงอี้ ชายชาวฮ่องกงที่ย้ายมาจากมณฑลฝูเจี้ยนตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1970 บอกกับวีโอเอว่า ครอบครัวและเพื่อนฝูงของเขาที่อาศัยอยู่ในจีนต่างรู้สึกว่า “มีเพียง ปธน.สี เท่านั้น ที่จะสามารถฟื้นฟูจีนขึ้นมาได้ .. จีนต้องการผู้นำที่แข็งแกร่ง หากปราศจากผู้นำแบบนี้แล้ว คุณจะปกครองเหล่าทัพได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าหน้าที่ทุจริตและเป็นผู้นำระดับสูงด้วยแล้ว?”
ฌอง-ปิแอร์ คาเบสตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก French Centre for Research on Contemporary China ในฮ่องกง ให้ทัศนะกับวีโอเอว่า “(ปธน.) สี มุ่งเน้นเรื่องอำนาจมากไปและไม่ฟังเสียงของใครอีกแล้ว แรงดึงดันต่อบทบาทของรัฐวิสาหกิจนั้นไม่ให้ผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะมีเพียงบริษัทเอกชนเท่านั้นที่สร้างงานในจีนตอนนี้”
SEE ALSO: ผู้นำจีน ย้ำ รัฐบาลต้องเน้นป้องกัน “กระแสโจมตีรัฐ Color Revolutions”วาระที่สาม?
ในความเห็นของ เฉิน เพื่อนของปธน.สี เชื่อว่าเขาจะดำรงตำแหน่งต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายของประเทศ
เป้าหมายสำคัญของปธน.สี คือ การเดินหน้าแก้ปัญหาความยากจน โดยเมื่อปีที่แล้ว ผู้นำจีนประกาศความสำเร็จในการทำให้ประชาชนเกือบ 100 ล้านคนหลุดพ้นจากระดับความยากจนมาได้ในช่วงที่เขาเป็นผู้นำประเทศ แต่ยังมีชาวจีนอีกหลายล้านชีวิตที่ยังดำรงชีพด้วยรายได้ต่ำกว่า 1,000 หยวน หรือราว 5,300 บาทต่อเดือน
ในระหว่างสุนทรพจน์เปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ปธน.สี กล่าวถึงเป้าหมายในการสร้าง “ความมั่งคั่งร่วมกัน” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการจัดสรรความมั่งคั่งขึ้นใหม่ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว และไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะได้รับการสนับสนุนหรือคัดค้านมากน้อยแค่ไหน โดยที่ผ่านมา แผนการที่ผู้นำจีนพยายามผลักดันการเก็บภาษีที่ดินเพื่อลดการเก็งกำไรและลดความเหลื่อมล้ำ กลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของสมาชิกพรรคมากเท่าใดนัก
ส่วนประเด็นสำคัญในเวทีนี้ ที่ว่าปธน.สีจะอยู่ต่ออีก 5 ปีหรือไม่ – ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้วิจารณ์ผู้นำจีนโล่งใจแต่ขัดใจผู้สนับสนุน ในมุมมองของวิกเตอร์ เกา ที่เปิดเผยกับวีโอเอว่า “ไม่มีอะไรที่สิ้นสุดแน่นอนจนกว่าจะได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ”
- ที่มา: วีโอเอ