หนึ่งในช่วงเวลาอันน่าจดจำในงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 75 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา คือ บทสุนทรพจน์รับรางวัล Lifetime Achievement ของโอปราห์ วินฟรีย์ สตรีผู้ทรงอิทธิพลในวงการฮอลลีวู้ด จากผลงาน The Color Purple เมื่อปี 1986
โอปราห์ วินฟรีย์ เธอถือเป็นสตรีผิวสีคนแรกที่รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ตามหลังเพื่อนร่วมวงการอย่าง Denzel Washington และ Meryl Streep
เนื้อหาในสุนทรพจน์นี้ บอกถึงแรงบันดาลใจที่เธอได้กระโจนเข้าสู่วงการบันเทิง จากเด็กหญิงในครอบครัวยากจนในมิลวอกี ได้ชมการประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 36 ที่ Sidney Poitier ได้เป็นชายผิวสีคนแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์ ก่อนที่ในปี 1982 เขาจะได้รับรางวัล Lifetime Achievement เหมือนกับที่โอปราได้ในปีนี้ ซึ่งเส้นทางของ Poitier คือแรงขับเคลื่อนให้เธอมีวันนี้ได้
พร้อมกันนี้ ยังได้ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุน โดยเฉพาะ สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่มองเห็นตัวตนของเธอในบทบาทของ Sophia ในภาพยนตร์เรื่อง The Color Purple และขอบคุณ Stedman Graham คนรักของเธอที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาจนถึงวันนี้
ขอบคุณสมาคมนักข่าวต่างประเทศประจำฮอลลีวู้ด ที่ต้องทำงานหนักท่ามกลางแรงกดดันในปัจจุบัน ในฐานะองค์กรที่ต้องเปิดเผยความจริงทั้งประเด็นคอรัปชั่น ความอยุติธรรม การโกหกหลอกลวง และความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในสังคม และเธอให้คุณค่ากับสื่อมวลชนมากกว่าแต่ก่อน
เพราะเธอเชื่อว่า “การพูดความจริงคือเครื่องมืออันทรงพลังที่เราทุกคนมีอยู่ในตัวเอง”
ในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ เธอรู้สึกภูมิใจและได้รับแรงบันดาลใจจากผู้หญิงในยุคปัจจุบันที่แข็งแกร่งและทรงพลังมากพอที่จะพูดความจริงและถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัวของพวกเธอ ซึ่งผู้หญิงทุกคนในห้องนี้ควรได้รับการยกย่อง ไม่ใช่เพียงแค่บทบาทหรือเรื่องราวที่เราพยายามถ่ายทอด แต่ในปีนี้ผู้หญิงทุกคนได้กลายเป็นเรื่องราวที่สื่อจับตา
นอกจากนี้ เธอได้หยิบยกเรื่องราวของ Recy Taylor ผู้หญิงผิวสีที่ถูกลักพาตัวไปข่มขืนโดยกลุ่มชายผิวขาวมีอาวุธ เมื่อปี ค.ศ. 1944 ซึ่ง Rosa Parks หนึ่งในทีมสอบสวนหยิบยกคดีดังกล่าวขึ้นมาเพื่อหาความยุติธรรมให้กับ Recy Taylor ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ 10 วันที่แล้วด้วยวัย 98 ปี
นั่นหมายความว่า มันนานเท่าไหร่แล้วที่สังคมถูกครอบงำโดยผู้ชาย นานเท่าไหร่แล้วที่เสียงของผู้หญิงนั้นไม่ถูกรับฟังหรือเชื่อถือ เมื่อเธอเปิดปากพูดความจริงต่อหน้าเพศตรงข้ามที่มีอำนาจ แต่เวลาเหล่านั้นมันหมดไปแล้ว เวลานั้นมันจบไปแล้ว!
และในช่วงชีวิตการทำงานของเธอในฐานะพิธีกร ได้สัมภาษณ์บุคคลมากหน้าหลายตาที่ชีวิตล้มเหลวและประสบความสำเร็จ รวมทั้งบทบาทนักแสดง สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน คือ ความหวังถึงเช้าวันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม แม้ว่าจะอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดแค่ไหนก็ตาม
เธอจึงอยากให้เด็กผู้หญิงที่ได้ชมเธออยู่ในตอนนี้รู้ว่า วันใหม่นั้นอยู่ที่เส้นขอบฟ้านั่นแล้ว และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าสู่รุ่งอรุณของวันใหม่ นั่นเป็นเพราะความสามารถของผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นี่ในค่ำคืนนี้ และบรรดาผู้ชายที่ยอดเยี่ยม ที่ช่วยกันต่อสู้และเป็นผู้นำที่จะนำพาเราไปสู่ช่วงเวลาจะไม่มีใครต้องพูดคำว่า Me too อีกต่อไป
สำหรับผู้ที่อยากจะใช้คำว่า Time’s Up หรือ “หมดเวลาแล้ว” เรามีคำศัพท์ที่นำไปใช้ได้ที่ความหมายใกล้เคียงกัน ได้แก่ It’s over. The time has gone. It comes to an end.