ในการประชุมระหว่างประเทศของสมาคมอัลไซเมอร์สที่นครลอสแองเจลิสเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงหลักฐานว่าโรคนี้อาจแพร่กระจายไปในสมองของผู้หญิงในลักษณะที่แตกต่างกันไปมากกว่าในผู้ชาย
และยังชี้ว่าลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างที่ได้พบใหม่ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคนี้ตามเพศของแต่ละคนด้วย
Maria Carrillo หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของสมาคมอัลไซเมอร์กล่าวว่า สองในสามของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในสหรัฐฯ เป็นเพศหญิง ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะผู้หญิง มีอายุยืนยาวกว่าเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะทางชีวภาพบางอย่างที่ทำให้เกิดความแตกต่างในการเป็นโรคนี้ของเพศหญิง และเพศชาย
การศึกษาก่อนหน้านี้บางฉบับแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงทุกวัยมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชาย นักวิทยาศาสตร์ยังทราบด้วยว่ายีนที่มีชื่อว่า APOE-4 ดูเหมือนว่าจะทำให้ผู้หญิงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายในบางช่วงอายุ
และในขณะเดียวกันผู้หญิงที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ในระยะแรกอาจยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ทันที เพราะผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะสามารถผ่านการทดสอบตอบคำถามได้ดีกว่าผู้ชาย ซึ่งจะช่วยปกปิดอาการของภาวะสมองเสื่อมได้
นอกจากนี้การศึกษาครั้งใหม่ยังมีหลักฐานเพิ่มเติมและคำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้เกี่ยวกับความแตกต่างในการพัฒนาโรคนี้ของเพศหญิง และเพศชาย
นักวิจัยของมหาวิทยาลัย Vanderbilt พบว่าโปรตีน Tau ซึ่งทำลายเซลล์ประสาท แพร่กระจายไปในสมองของผู้หญิงแตกต่างจากในสมองของผู้ชาย
นอกจากนี้ยังพบว่าโปรตีน Tau ในผู้หญิงที่มีความบกพร่องเล็กน้อยมีการแพร่กระจายในสมองมากกว่าผู้ชาย เป็นผลให้บริเวณต่างๆ ของสมองได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ชายอีกด้วย
เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าผู้หญิงทำการทดสอบความจำแบบปากเปล่าได้ดีกว่าผู้ชาย เช่นทักษะการจดจำคำศัพท์ และรายการต่างๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานดิเอโกพบว่าผู้หญิงมีทักษะในเรื่องเหล่านี้ดีกว่าผู้ชาย แม้จะมีอาการในช่วงต้นจนถึงช่วงกลางในการเป็นโรคอัลไซเมอร์คล้ายๆ กันก็ตาม
เมื่อนักวิจัยวิเคราะห์ผู้สูงอายุกว่า 1,000 คน ยังพบความแตกต่างของเพศหญิงกับชายในการที่สมองใช้น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลัก ผู้หญิงเผาผลาญน้ำตาลได้ดีกว่า ซึ่งอาจช่วยชดเชยความเสียหายจากภาวะสมองเสื่อม และทำให้ยากที่จะวินิจฉัยพบด้วยการทดสอบทักษะแบบปากเปล่าต่างๆ
อย่างไรก็ตาม Erin Sundermann หัวหน้าการศึกษาวิจัยนี้กล่าวว่าข้อได้เปรียบของผู้หญิงนี้ อาจปกปิดสัญญาณเริ่มต้นของอาการความจำเสื่อมและทำให้วินิจฉัยได้ล่าช้า