สหรัฐฯ เตือนภัยความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นในการทำธุรกิจกับเมียนมา หลังการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของกองทัพเมียนมาที่ล่วงเลยมาเกือบ 1 ปีเต็ม
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำเตือนถึงความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในเมียนมา และว่าจะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นหากเป็นการดำเนินธุรกิจกับบุคคล ภาคธุรกิจ และสถาบันการเงิน ที่เกี่ยวข้องหรืออาจเอื้อประโยชน์ให้กับกองทัพเมียนมา
คำเตือนดังกล่าว เน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่จะมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงินผิดกฎหมาย และความเสี่ยงในการเสื่อมเสียงชื่อเสียงจากการดำเนินธุรกิจ หรือการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเมียนมา
โดยธุรกิจที่มีความเสี่ยงมีทั้งธุรกิจที่รัฐบาลเมียนมาเป็นเจ้าของ ธุรกิจอัญมณีและหินมีค่าทุกชนิด อสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาวุธและการทหาร ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ของกองทัพเมียนมามายาวนาน
กองทัพเมียนมาเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว โดยอ้างประเด็นเรื่องการทุจริตการเลือกตั้งเมื่อปลายปี 2020 พร้อมทั้งคุมขังและดำเนินคดีกับผู้นำฝ่ายพลเรือนเมียนมา ซึ่งนับแต่นั้นมา รัฐบาลทหารเมียนมาได้ใช้อำนาจรุนแรงในการจัดการกับผู้ประท้วง ซึ่งในคำเตือนของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า กองทัพเมียนมาสังหารผู้บริสุทธิ์ไปมากกว่า 1,400 ราย นับตั้งแต่เข้ายึดอำนาจ
การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจากบริษัทน้ำมันรายใหญ่ เชฟรอน (Chevron Corporation) และโททาล (TotalEnergies) ระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมาที่ย่ำแย่ลงได้ทำให้ทั้งสองบริษัทตัดสินใจยุติการดำเนินกิจการในเมียนมา