สมาคมมหาวิทยาลัยอเมริกัน หรือ Association of American Universities (AAU) ซึ่งมีมหาวิทยาลัย 62 แห่งเป็นสมาชิก มีถ้อยแถลงเร่งเร้าให้ประธานาธิบดี Trump ทบทวนคำสั่งดังกล่าว
โดยให้เหตุผลว่าคำสั่งฉบับนี้จะผลักไสให้นักวิชาการชั้นแนวหน้าไปทำงานกับประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่แข่งทางการศึกษาและวิชาการกับสหรัฐ เช่น แคนาดา เยอรมนี และออสเตรเลีย
คนอื่นๆ ที่ร่วมวิพากษ์ตำหนิคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐฉบับนี้ ให้ความเห็นว่า การห้ามชาวมุสลิมจาก 7 ประเทศดังกล่าวเดินทางเข้าสหรัฐจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ
ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ NAFSA สมาคมนักการศึกษาระหว่างประเทศเก็บรวบรวมไว้ แสดงให้เห็นว่า นักศึกษาชาวต่างชาติทำรายได้ให้กับเศรษฐกิจสหรัฐ 32.8 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ถ้อยแถลงของ AAU กล่าวว่า สหรัฐจะต้องพยายามดึงดูดนักศึกษา นักวิทยาศาสตร์ วิศวกรและนักวิชาการชั้นนำเข้าประเทศ เพราะคนเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและผลประโยชน์ของชาติ
ตัวเลขจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศ (IIE) แสดงให้เห็นว่า เวลานี้มีนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐมากกว่าหนึ่งล้านคน โดยมากกว่า 17,000 คนมาจาก 7 ประเทศที่ถูกห้ามเข้าในขณะนี้
ในจำนวนนี้ เป็นนักศึกษาจากอิหร่านมากกว่า 12,000 คน
ส่วน ซาอุดิอเรเบีย ซึ่งเป็นประเทศมุสลิม แต่ไม่อยู่ในบัญชีต้องห้าม มีนักศึกษาในสหรัฐราวๆ 61,000 คน ซึ่งนับว่ามากเป็นอันดับที่สี่
ในขณะนี้ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐในรัฐนิวยอร์ก แมสสาชูเสทส์ เวอร์จิเนีย และวอชิงตันได้ออกคำสั่งให้ยับยั้งการบังคับใช้คำสั่งผู้บริหารฉบับนี้เป็นการชั่วคราว
ถึงกระนั้น อาจารย์ชาวอิหร่านสองคนของมหาวิทยาลัยแมสสาชูเสทส์ วิทยาเขตดาร์ตมัธ ก็ยังถูกควบคุมตัวไว้ที่สนามบิน Logan International ในนครบอสตัน ขณะพยายามจะเดินทางกลับสหรัฐ หลังการไปเยี่ยมบ้าน
และในขณะที่ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง ซึ่งรวมทั้ง Princeton, Stanford, Columbia และ New York ออกมากล่าวแสดงความเห็นคัดค้านคำสั่งที่ว่านี้ ก็ดูเหมือนว่า วิถีทางต่อสู้คำสั่งนี้จะเป็นการฟ้องร้องต่อสู้กันในศาล ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลายืดเยื้อทีเดียว