ส.ส.รีพับลิกันจากรัฐแคลิฟอร์เนีย วัย 57 ปี เควิน แมคคาร์ธี ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เจอแรงต้านจากส.ส.ภายในพรรค จนทำให้การลงมติเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ส่อแววยืดเยื้อ
นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ไม่มีตัวแทนชิงเก้าอี้ประธานสภาฯ ทั้งจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ได้เสียงข้างมากในการลงคะแนนครั้งแรก ในการเปิดประชุมสภาครั้งที่ 118 เมื่อเที่ยงวันอังคาร ทั้งที่ปกติแล้วการเลือกประธานสภาฯ สหรัฐฯ จะรู้ผลในการลงคะแนนเพียงครั้งเดียว
พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาล่างแบบปริ่มน้ำ ที่ 222-212 เสียง และส.ส.แมคคาร์ธีต้องการเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 218 เสียงเพื่อให้ได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ซึ่งจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานสภาฯ และผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ
ส.ส.รีพับลิกันฝ่ายอนุรักษ์นิยม ระบุในช่วงหลายสัปดาห์ว่า ส.ส.แมคคาร์ธีมีความเป็นอนุรักษ์นิยมไม่เพียงพอในการเป็นตัวแทนพรรคในสภาล่าง และมีการเสนอชื่อ ส.ส.รีพับลิกัน แอนดี้ บิกส์ จากแอริโซนา เข้ามาในการลงมติ ส่วนฝั่งส.ส.ฮาคีม เจฟฟรีย์ จากพรรคเดโมแครต ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน 212 เสียงในการลงมติเมื่อวันอังคาร ซึ่งถือว่าทั้งคู่ยังได้คะแนนเสียงต่ำกว่า 218 เสียงเพื่อให้ได้เป็นประธานสภาฯ อยู่ดี
ทั้งนี้ สภาผู้แทนฯ ไม่สามารถจัดการประชุมได้จนกว่าจะมีประธานสภาฯ เพราะบุคคลในตำแหน่งนี้จะปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานสภาฯ และผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎรสามารถเลือกประธานสภาฯ ใหม่ได้ทุกเมื่อหากประธานสภาฯ เสียชีวิต ลาออก หรือถูกถอดถอนจากตำแหน่ง นอกเหนือจากกรณีเหล่านี้แล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะได้รับเลือกในช่วงเริ่มต้นของสภาชุดใหม่
ขั้นตอนการเลือกประธานสภาฯ นั้น บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ จะขานชื่อบุคคลที่พวกเขาต้องการเสนอชื่อให้รับตำแหน่งดังกล่าวในที่ประชุม ซึ่งมีบางครั้งที่กระบวนการดังกล่าวกินเวลาเนิ่นนานและยกระดับเป็นเรื่องดราม่าขึ้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกระบวนการขานชื่อและนับคะแนนเสียงเท่านั้น
เหตุโกลาหลในสภาล่างระหว่างการเลือกประธานสภาฯ เกิดขึ้นย้อนกลับเมื่อช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1850 ที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานสภาฯ ไม่สามารถทำคะแนนถึงระดับเสียงข้างมากในการโหวตครั้งแรก และในครั้งนั้นมีการลงมติเกิดขึ้นถึง 133 ครั้ง ในกรอบเวลา 2 เดือน ตามรายงานของรอยเตอร์
- ที่มา: วีโอเอและรอยเตอร์