เป็นอีกครั้งที่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกปิดทำการ หากว่ารัฐบาลและรัฐสภาไม่สามารถตกลงกันเรื่องงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก ภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี้
รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงต่อการปิดทำการรอบใหม่หลังวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ หากว่ารัฐบาลและรัฐสภาไม่สามารถตกลงกันเรื่องงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก ตามข้อเสนอของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์
โดย ปธน.ทรัมป์ ต้องการเงินค่าก่อสร้างกำแพงเบื้องต้น 5,700 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรที่ครอบครองโดยพรรคเดโมแครต เสนองบประมาณให้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งปิดทำการมานาน 35 วัน ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว จนถึงวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากเริ่มเปิดทำการอีกครั้ง ได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้แทนจากทั้งสองพรรค รวม 17 คน เพื่อทำหน้าที่หารือรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับมาตรการป้องกันตามแนวพรมแดนทางใต้ และงบประมาณที่ต้องการและเป็นไปได้จริง
คาดว่าทั้งสองฝ่ายเกือบตกลงกันได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ในวันอาทิตย์ ส.ว.ริชาร์ด เชลบี้ จากพรรครีพับลิกัน หนึ่งในคณะเจรจาเรื่องงบประมาณด้านความปลอดภัยตามแนวพรมแดน ของวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวกับสถานีข่าว Fox News ว่า “การเจรจายังคงชะงักงันในขณะนี้ และไม่มั่นใจว่าจะสามารถหาข้อตกลงได้ทันตามกำหนด”
ทางรักษาการณ์หัวหน้าคณะทำงานของทำเนียบขาว มิค มัลวานีย์ กล่าวกับ NBC News ว่ายังมีโอกาสที่จะปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ อีกครั้งอย่างแน่นอน และว่าประธานาธิบดีทรัมป์ เชื่ออย่างหนักแน่นว่ากำลังเกิดวิกฤติการณ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ และด้านมนุษยธรรม ตรงพรมแดนทางใต้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างความปลอดภัยตามแนวชายแดน
ปธน.ทรัมป์ มีกำหนดจะเดินทางไปยังเมือง El Paso รัฐเท็กซัส ในวันจันทร์นี้ เพื่อหาเสียงสนับสนุนมาตรการสร้างกำแพงของตน
โดยเมื่อวันเสาร์ ปธน.ทรัมป์ ทวีตข้อความว่า “พรรคเดโมแครตไม่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยตามแนวพรมแดน ไม่ทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดน และพยายามทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง”
ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันด้วยว่าในที่สุดแล้วจะต้องมีการสร้างกำแพงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้มิได้ระบุว่าตนจะสามารถยอมรับหรือยอมเจรจาที่ตัวเลขงบประมาณเท่าใด สำหรับการสร้างกำแพงหรือสิ่งกีดขวางดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ แต่มีความเกี่ยวข้องกับการเจรจาครั้งนี้ ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายอาจพร้อมที่จะรับข้อเสนอสำหรับงบประมาณในการสร้าง “สิ่งกีดขวาง” ตามแนวพรมแดน ซึ่งอาจมีมูลค่าราว 2,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งการเพิ่มมาตรการคุมเข้มตามจุดผ่านแดนต่างๆ เพื่อป้องกันการลักลอบขนส่งยาเสพติดข้ามพรมแดน ตลอดจนการใช้โดรนและเทคโนโลยีสมัยใหม่อื่นๆ มาช่วยในการลาดตระเวนและป้องกันการลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายด้วย
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ เคยส่งสัญญาณว่าอาจมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อนำงบประมาณด้านการทหารมาใช้ในการก่อสร้างกำแพง โดยที่ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนเตือนว่า การใช้วิธีนั้นจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่พรรคเดโมแครตอาจนำมาใช้จัดการกับกรณีอื่นๆ ในอนาคต เมื่อถึงคราวที่พรรคเดโมแครตได้เป็นรัฐบาลบ้าง เช่น การประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อคว่ำบาตรอาวุธปืนบางประเภท
ขณะเดียวกัน มีความกังวลว่าพรรคเดโมแครตอาจยื่นฟ้องต่อศาลให้พิจารณาการประกาศภาวะฉุกเฉินของ ปธน.ทรัมป์ ว่าจำเป็นหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เกิดการต่อสู้ในชั้นศาลเป็นเวลานานหลายเดือนได้เช่นกัน
(ผู้สื่อข่าว Ken Bredemeier / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)