ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System หรือ Fed) ส่งสัญญาณออกมาเมื่อวันพุธว่าจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าตลาดงานจะปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อด้วย
นาง Janet Yellen ประธานคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ บอกกับผู้สื่อข่าวในวันเดียวกันนี้ว่า อาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาต่อไปในปีนี้ ถ้าข้อมูลทางเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าสมควรแก่เวลาที่จะทำเช่นนั้น
ได้มีการคาดคะเนกันไว้ก่อนหน้านี้ว่า Fed อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน
ธนาคารกลางสหรัฐคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับใกล้ศูนย์มาตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 2008 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐให้ฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เวลานี้ ยังมีคนอเมริกันอีกมากที่ยังต้องทำงานไม่เต็มเวลา เพราะหางานเต็มเวลาทำยังไม่ได้
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อของประเทศยังต่ำกว่า 2% ซึ่งเป็นอัตราเป้าหมายที่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าเป็นอัตราที่ดีสำหรับระบบเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า Fed ไม่ควรรอนานเกินควร ก่อนจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะอาจเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจได้
แต่นาง Catherine Mann นักเศรษฐศาสตร์ของ OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) ให้ความเห็นกับหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ที่กรุงปารีสว่า จังหวะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรป
OECD เป็นองค์กรของประเทศที่เจริญก้าวหน้ามากที่สุดของโลก ทำงานเสมือนกับเป็นสถาบันวิเคราะห์ และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส
OECD ยังได้ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกด้วย สำหรับปีนี้ จะเป็น 4% และ 4.3% ในปีหน้า
การปรับเพิ่มนี้สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ต่ำลงบวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางของหลายประเทศใน OECD กำลังนำมาใช้ รวมทั้งธนาคารกลางของสหภาพยุโรป
ขณะเดียวกัน OECD มีคำเตือนออกมาด้วยว่า การใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของระบบการเงินได้ เพราะการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจทำให้มีการดำเนินการสุ่มเสี่ยง รวมทั้งการกู้ยืมเงินมากเกินควร
นอกจากนี้ อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศยังไม่สะท้อนสภาพการณ์ที่แท้จริงทางเศรษฐกิจด้วย
OECD ให้ความเห็นต่อไปว่า ควรจะมีการถ่วงดุลนโยบาย ด้วยนโยบายการคลัง โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ