สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ที่ยังรอการฟื้นตัวที่ชัดเจนจากวิกฤตการระบาดของโควิด-19 โดยมีอัตราเงินเฟ้อเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชี้วัดทิศทางเศรษฐกิจ กลายมาเป็นประเด็นโต้แย้งระหว่างนักเศรษฐศาสตร์แนวหน้าของประเทศอีกครั้ง
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แจเน็ต เยลเลน และอดีตรัฐมนตรีคลัง ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส คือ คู่แย้งที่เห็นต่างเกี่ยวกับคำถามที่ว่า การเร่งใช้จ่ายภาครัฐ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของประเทศใกล้แตะระดับ 0 เปอร์เซ็นต์นั้น กำลังจะนำไปสู่อันตรายของภาวะเงินเฟ้อที่ไม่มีการตรวจสอบหรือไม่
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อดีตรมต.ซัมเมอร์ส แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ตนมีความกังวลอย่างมากว่า ราคาสินค้าผู้บริโภคของสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้นจนควบคุมไม่อยู่ ขณะที่ รมต.เยลเลน กลับสนับสนุนจุดยืนของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะที่ควรแล้ว เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และมีการว่าจ้างงานเต็มอัตรา ขณะที่เชื่อว่า แรงกดดันเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นอยู่นี้จะเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น
นับตั้งแต่ก้าวขึ้นรับตำแหน่งเมื่อ 6 เดือนก่อน รมต.เยลเลน และ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed คนปัจจุบัน ทำงานร่วมกันในด้านนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติมเป็นเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนชาวอเมริกันและสำหรับการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมทั้ง การใช้จ่ายเพื่อมาตรการทางสังคมด้วย
ขณะเดียวกัน อดีตรมต.ซัมเมอร์ส เฝ้าวิพากษ์วิจารณ์การอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมาโดยตลอด ด้วยความกังวลว่า การดำเนินนโยบายเช่นนี้จะทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อดีตรมต.คลังผู้นี้ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน “คือนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการคลังที่แสดงภาวะการมีความรับผิดชอบน้อยที่สุดที่เรา (สหรัฐฯ) เคยมี ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา” และว่า “ในเวลานี้ มีความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นว่า นโยบายเศรษฐกิจมหภาพจะนำมาซึ่งความร้ายแรง” กว่าที่ตนเคยเห็นมาด้วย
ในส่วนของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้น ประธาน เจอโรม พาวเวลล์ ยอมรับต่อคณะอนุกรรมาธิการด้านวิกฤติโคโรนาไวรัสของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศปรับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ไม่ได้พูดว่า ตน รมต.เยลเลน และเจ้าหน้าที่และหน่วยงานอื่นๆ ที่ร่วมกันดูแลการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีแผนจะเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ในด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องในอนาคตอันใกล้นี้เลย
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Fed ส่งสัญญาณออกมาว่า จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเล็กน้อยในปี ค.ศ. 2023 และอาจดำเนินการคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วขึ้นกว่าที่เคยวางแผนไว้บ้าง หลังอัตราเงินเฟ้อของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างหนัก