นักการทูตสหรัฐฯ จะเริ่มกลับไปปฏิบัติภารกิจในยูเครนในสัปดาห์นี้ ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังส่งความช่วยเหลือทางทหารไปเพิ่มเพื่อช่วยเหลือยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย
นักการทูตอเมริกันจะเริ่มกลับไปประจำที่เมืองลวิฟทางภาคตะวันตกของยูเครนก่อนเป็นแห่งแรก จากนั้นกลับเข้าไปประจำที่สถานทูตสหรัฐฯ ณ กรุงเคียฟเป็นลำดับต่อไป โดยกระบวนการนี้อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนเสนอชื่อ บริดเจ็ต บริงค์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสโลวะเกีย ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครนคนใหม่ด้วย
เวลานี้ ประเทศในยุโรปและสมาชิกองค์การนาโต้หลายประเทศ ได้เริ่มส่งนักการทูตกลับเข้าไปประจำในยูเครนอีกครั้ง รวมทั้ง ออสเตรีย เบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี สาธารณรัฐเชก สโลวะเกีย และสโลเวเนีย ขณะที่รัฐบาลอังกฤษเพิ่งประกาศเมื่อวันศุกร์ว่าจะเริ่มเปิดสถานทูตในกรุงเคียฟในเร็ววันนี้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าสถานการณ์ความปลอดภัยในกรุงเคียฟและพื้นที่ใกล้เคียงเริ่มดีขึ้นแล้ว
ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่โปแลนด์ในวันจันทร์ หลังจากเพิ่งกลับจากการเยือนกรุงเคียฟ โดยระบุว่า ในขณะที่รัสเซียกำลัง "ทำทารุณ" ต่อพื้นที่บางส่วนของยูเครน แต่ยูเครนก็ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งด้วยแรงสนับสนุนจากทั่วโลกซึ่งมาจากความร่วมมือของสหรัฐฯ
รมต.บลิงเคน กล่าวว่า "เป้าหมายของรัสเซียในสงครามครั้งนี้ประสบความล้มเหลว และยูเครนคือฝ่ายที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสิ่งที่ประธานาธิบดีปูตินตั้งเป้าไว้ คือการควบรวมยูเครนกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียและยึดครองอำนาจอธิปไตยและความเป็นอิสระของยูเครนนั้น ไม่เกิดขึ้นและจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง"
รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า ตนและรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ได้พบหารือกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ของยูเครนเป็นเวลาราวสามชั่วโมง เพื่อชี้แจงถึงความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ที่ให้แก่ยูเครน พร้อมรับฟังสิ่งที่ผู้นำยูเครนต้องการด้วย
ทางสำนักงานประธานาธิบดียูเครนแถลงในวันจันทร์ว่า การหารือครั้งนี้รวมถึงการรับรองด้านความปลอดภัย ตลอดจนความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารให้แก่ยูเครน โดยทางยูเครนได้เน้นย้ำเรื่องการเพิ่มมาตรการลงโทษต่อรัสเซีย
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลอเมริกันกำลังจัดหาความช่วยเหลือทางการเงินชุดใหม่มูลค่ากว่า 700 ล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครน เพื่อให้สามารถซื้ออาวุธที่มีความทันสมัยและระบบป้องกันตนเองทางอากาศเพื่อรับมือการโจมตีของรัสเซียในแคว้นดอนบาส